ต้องกัดเล็บลุ้นกันวินาทีต่อวินาที และถือเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่เชือดเฉือนกันมันส์หยดติ๋งที่สุดในประวัติศาสตร์ ถ้าไม่มีการพลิกโผ “โจ ไบเดน” วัย 77 ปี จากพรรคเดโมแครต คว้าชัยชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ชาวมะกัน ก็จะได้สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวจากปัจจุบัน เพราะเธอคนนี้มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง มีดีกรีด็อกเตอร์ และเป็นอาจารย์มาทั้งชีวิต ไม่ใช่ไฮโซเมียเศรษฐีที่เอาแต่แต่งตัวสวยไปวันๆ

ใครที่ติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯมาตั้งแต่ต้น คงจะทราบดีถึงบทบาทความสำคัญของ “ดร.จิล ไบเดน” ถ้าไม่เจ๋งจริง สื่อ
มะกันคงไม่ยกให้เป็น “อาวุธลับ” ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “โจ ไบเดน” ช่วยโกยคะแนนได้เยอะตลอดเส้นทางการหาเสียง
เธอคนนี้คือกุนซือสำคัญที่คอยวางหมากการเมืองและให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตส่วนตัว โดยหนึ่งในการตัดสินใจสุดเฉียบที่ต้องยกเครดิตให้ รวมถึงการเลือก ส.ว.หญิงเชื้อสายอินเดียจากรัฐแคลิฟอร์เนีย “คอมมาลา แฮร์ริส” เป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดี ทำให้กวาดคะแนนเสียงในรัฐใหญ่ที่มีประชากรอยู่มากสุดในอเมริกาเกือบ 40 ล้านคน พลิกเกมสู้เอาชนะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เธอยังร่วมเดินสายหาเสียงและปรากฏตัวในงานระดมทุนของสามีหลายครั้ง โดยมีลูกสาวนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม “แอชลีย์ ไบเดน” 

นอกจากจะมีดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์และคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการศึกษามานาน โดยเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมัธยมอยู่ 13 ปี และปัจจุบันเป็นโปรเฟสเซอร์ประจำวิทยาลัยนอร์เธิร์น เวอร์จิเนีย คอมมิวนิตี้ คอลเลจ “ดร.จิล” ยังมีสตอรีน่าสนใจตรงที่เป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงบ่าเคียงไหล่สามีมาตลอดทุกช่วงชีวิต โดยเฉพาะในยามที่ “โจ ไบเดน” ทุกข์ที่สุดเกือบฆ่าตัวตาย หลังสูญเสียภรรยาคนแรกกับลูกสาววัยขวบเศษจากอุบัติเหตุรถยนต์ ก็ได้ม่ายสาวอย่าง “อาจารย์จิล” ช่วยฟื้นฟูกำลังใจให้กลับมายืนหยัดอีกครั้ง เธอยังมีส่วนสำคัญในการช่วยฟูมฟักลูกเลี้ยงทั้งสองให้ผ่านมรสุมดังกล่าวไปได้ แม้ภายหลังลูกเลี้ยงคนโต “โบ ไบเดน” จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมอง ขณะวัยเพียง 46 ปี คงเหลือแต่ลูกชายคนรอง “ฮันเตอร์”

ใครที่เคยใกล้ชิดกับ “ดร.จิล” มักชมเป็นเสียงเดียวกันถึงความเรียบง่ายติดดิน อบอุ่นมีอารมณ์ขัน และขี้เล่น เธอยืนกรานตั้งแต่สมัยเป็นสุภาพสตรีหมายเลขสองของอเมริกา ระหว่างปี 2009-2017 ว่าจะไม่ทิ้งงานสอนหนังสือเด็ดขาด เพราะการสอนไม่ใช่สิ่งที่เธอทำแต่คือสิ่งที่เธอเป็น และแม้จะก้าวขึ้นเป็นเฟิสต์เลดี้คนใหม่ของอเมริกา “ดร.จิล” ก็ยังจะเป็นอาจารย์สอนหนังสือเหมือนเดิม พร้อมๆกับการทำหน้าที่สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคอยส่งเสริมสามีให้เจิดจรัสไม่ขโมยซีน

สมัยอยู่ทำเนียบขาวร่วมทำงานกับเฟิสต์เลดี้ “มิเชล โอบามา” สองสมัย เธออุทิศตัวให้กับครอบครัวทหารผ่านศึก และยังให้ความสำคัญอย่างมากกับการส่งเสริมการพัฒนาระบบการศึกษาในชุมชนต่างๆ โดยพยายามผลักดันให้เกิดวิทยาลัยระดับชุมชน พร้อมเดินสายทำกิจกรรมรณรงค์เพื่อสังคมมากมาย โดยประเด็นใหญ่ที่สนใจเป็นพิเศษคือ การป้องกันมะเร็งเต้านม เธอยังร่วมกับมิสซิสโอบามาริเริ่มโครงการ “Joining Forces” เพื่อช่วยเหลือเหล่าทหารผ่านศึกและครอบครัว ผ่านโปรแกรมการศึกษาและการจ้างงานต่างๆ

ด้วยความที่ “ดร.จิล” มักสร้างรอยมและเสียงหัวเราะให้ผู้คนรอบข้างเสมอ ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าความอบอุ่นเป็นกันเองเข้าถึงได้ง่ายของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่จะทำให้ชาวอเมริกันรู้สึกอุ่นใจขึ้นในยามที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์อันยากลำบากที่สุด เฉกเช่นที่เธอเป็นลมใต้ปีกคอยผลักดันและสนับสนุนสามีมาตลอดทั้งชีวิต จนประสบความสำเร็จได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ แม้จะต้องรอชัยชนะมานับทศวรรษก็ตาม.

ที่มา : ไทยรัฐ

882 Views