เกิดเหตุบ้านเดี่ยว 3 ชั้น พังถล่มลงมาทั้งหลัง ขณะเจ้าหน้าที่กำลังระดมฉีดน้ำเพื่อดับเพลิง ภายในซอยบรมราชชนนี105 เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 4 เมษายน รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ วสท. เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุอาคาร 3 ชั้นไฟไหม้ และอาคารทั้งหลังทรุดตัวถล่มลงมากองกับพื้น หมู่บ้านกฤษดานคร 31 ซอยบรมราชชนนี 105 ถนนบรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร จากนั้นเปิดเผยว่าตรวจสอบอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากสภาพอาคารพังทลายลงมาหมดแล้ว จึงต้องไปหาข้อมูล แบบแปลนการก่อสร้างอาคารว่ามีจุดใดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารถล่มลงมา เบื้องต้นประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอแปลนอาคาร เพื่อนำไปถอดบทเรียนไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ทั้งนี้ยังไม่ระบุว่ามีการต่อเติมอาคาร ตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตหรือไม่ ต้องขอดูแปลนก่อน

รศ.สิริวัฒน์กล่าวอีกว่า อาคารแห่งนี้มีการก่อสร้างในช่วงปี 2554-2555 ช่วงนี้มีเทคโนยีการก่อสร้างการใช้วัสดุที่ดีทนต่อไฟอยู่แล้ว จึงต้องดูสภาพแวดล้อมรอบข้าง โดยขนาดพื้นที่เองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง หากพื้นที่แคบจะทำให้อาคารอมความร้อนมากกว่าอาคารที่อยู่ในพื้นที่กว้าง พื้นที่โล่งกว้างจะทำให้ความร้อนกระจายตัวได้มากกว่า ขณะเดียวกันวัสดุ สิ่งของที่อยู่ภายในบ้าน เช่น กระดาษ พลาสติกต่างๆ รวมทั้งวัตถุไวไฟ ถือเป็นเชื้อเพลิงทำให้อุณหภูมิพุ่งสูงได้ถึง 900-1,000 องศา จากปกติที่วัสดุก่อสร้างจะทนความร้อนถึง 300-600 องศา ตรงส่วนนี้ทำให้โครงสร้างอาคารเกิดรอยร้าว มีการแยกตัวออกจากกัน ความร้อนจึงเข้าไปในช่องว่าง ทำให้เหล็กเปลี่ยนรูปร่าง หรือเปลี่ยนสภาพยื้อกันระหว่างจุดที่แข็งแรงของตัวบ้านกับจุดที่อ่อนแอ เป็นสาเหตุที่ทำให้อาคารถล่มลงมา ยืนยันว่าอาคารที่มีอายุประมาณ 10 ปีนั้นถือว่ายังไม่เสื่อมสภาพหากก่อสร้างอย่างถูกต้องจะอยู่ได้ 30-50 ปี สำหรับการตั้งข้อสังเกตว่าอาคารดังกล่าวมีเสาขนาดเล็กกว่าคาน รศ.สิริวัฒน์กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากคานจะต้องรับน้ำหนักมากกว่าเสา สำหรับประเด็นการฉีดน้ำดับไฟ ตรงส่วนนี้ยืนยันว่าไม่ส่งผลให้อาคารถล่มลงมา เพราะปูนไม่ดูดซับน้ำ ส่วนการเปลี่ยนแปลงประเภทการใช้ประโยชน์ของอาคาร จากที่อยู่อาศัยเป็นที่เก็บของ หากไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ ถือว่าผิดกฎหมาย ต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง

1,012 Views