เราไม่ได้ชี้ชวนหรือชักนำ แค่แจ้งให้ทราบนะจ้ะ
สาเหตุที่อยากเขียนคือ เรารู้ว่ามีคนอยากมาเป็นโรบินฮู้ด/ อยากมาทำงานเมกา (แต่ไม่มีใบเลยต้องเป็นโรบินฮู้ด) เยอะมากกกก ก็เลยอยากเขียนเล่าให้ฟังแบบเน้นข้อมูล เพราะน้อยที่ที่จะให้ข้อมูลแบบจริงๆส่วนมากเห็นมีแต่ขู่ ด่า…ดราม่าสารพัด
โรบินฮู้ด หรือที่บางคนเรียกย่อๆ ว่า “ฮู้ด” แต่คนที่นี่มักจำกัดสถานภาพตัวเองด้วยคำว่า “ไม่มีใบ” ก็คือพวกอยู่ต่อ (ส่วนมากหมายถึงเมกามั้ง) จนวีซ่าขาด ซึ่งจุดประสงค์หลักก็คือแอบทำงานนั่นแหละ
ส่วนพวกที่แอบทำงานแต่มีวีซ่าที่เขาไม่ให้ทำงาน (เช่นวีซ่านักเรียน วีซ่าท่องเที่ยวที่ยังไม่ขาด) เราไม่เรียกว่าเป็นโรบินฮู้ดค่ะ หมายถึงพวก illegal working หรือทำงานผิดกฎหมายเฉยๆ (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนท้ายๆ) หรือพวกไม่อยากเสียตังค์ให้เอเจนซี่ W&T เลยเลือกขอวีซ่าท่องเที่ยวแล้วมาทำก็ถืออยู่ในกลุ่มหลังเหมือนกัน
เน้นอีกที คำว่า “ทำงานผิดกฎหมาย” ในที่นี้ หมายถึงสถานะของเราไม่สามารถทำงานได้ไม่ได้หมายถึงไปขายยา หรือทำธุรกิจผิดกฎหมายนะ
เหตุผลหลักที่คนเลือกมาทำงาน/โดดวีซ่ามาในอเมริกา ก็เพราะเงิน เงินขั้นต่ำประมาณชม.ละ $ 9 (คูณ 30 เข้าไปก็ได้เป็นบาท) <<< แต่ใช่ว่าจะได้กันทุกคนนะ อย่างงานแรกเราได้แค่ชม.ละ 7 เหรียญเอง (ค่าแรงขั้นต่ำตอนนั้น 8 เหรียญกว่า)
ส่วนมากเกือบทั้งหมด เข้าประเทศด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งการที่จะขอได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่รู้กันว่าวีซ่าท่องเที่ยวเมกาขอยากมากกกก ฉะนั้นแสดงว่าพวกโรบินฮุ้ด โดยเฉพาะยุคหลังต้องโปรไฟล์ดีมากกกก เช่น พี่ๆ ที่เรารู้จัก จบป.ตรีกันทั้งนั้น มีคนหนึ่งเคยทำงานเป็นนักข่าว ก่อนจะย้ายไปทำ PR ให้กับองค์กรใหญ่ๆ ของไทยแห่งหนึ่ง (เห็นเขาบอกว่าได้เงินเดือนประมาณ 30K บาท) มาเมกาตอนนั้นอายุ 30 กว่า อีกคนก็มาตอนอายุ 40 กว่า บางคนจบโทมาโดดวีซ่าก็เคยเจอเพราะครอบครัวล้มละลาย
ฉะนั้นบอกได้เลยว่าพวกเด็กจบใหม่อายุ 20 กว่าๆ โปรไฟล์ไม่แน่นเนี่ย ขอวีซ่าอเมริกายากมากก เคยเห็นโดนปฏิเสธต่อหน้าต่อตามาแล้วเลย
ส่วนมาก อาจเฉพาะกับคนที่เราคุยด้วย เขาอยู่ในวงการร้านอาหารหมดเลย เราก็เลยรู้เฉพาะในวงการนี้ หรืออีกวงการนึงที่เริ่มฮิต แล้วก็บูมมากๆ ก็คือกลุ่มร้านนวด ทั้งนวดธรรมดาและนวดแอบแฝง (นวดนาบ) ขึ้นชื่อว่า Thai Massage ก็ขึ้นชื่อด้านนั้นอยู่แล้ว….. เงินก็แน่นอนว่าดีกว่าทำร้านอาหาร แต่เราไม่แนะนำจริงๆ จังๆ เราจะไม่ขอพูดถึงนะคะ
ถ้าเป็นผู้ชาย ส่วนมากจะได้งานในครัวค่ะ งานในครัวก็มีตั้งแต่เป็นลูกมือ+ล้างจาน/ทำ App (ทำพวกเมนู Appertizer เช่นทอดเกี๊ยว ฯลฯ)/ ผัด / pack to go (แพ็คอาหารเวลาลูกค้าสั่งกลับบ้าน) / delivery บอกได้เลยค่ะว่าเงินดีสุดคือมือผัด ที่เหลือคือเงินน้อยสุดในสายงานร้านอาหารค่ะ ดังนั้นส่วนมาก เขาก็อยากจ้างพ่อครัวมากกว่าแม่ครัว เพราะงานในครัวหนัก (น้ำหนัก) มาก แต่ผู้หญิงทำครัวก็มีเยอะ
ฉะนั้น ถ้าทำ พยายามสั่งสมประสบการณ์แล้วเป็นมือผัดให้ได้นะคะ เงินดีที่สุด งานหนักพอๆ กันแหละในครัวแล้วก็เป็นตำแหน่งที่คนขาดที่สุดด้วย ถ้าทนถึกไหว หางานได้แน่นอน (แต่คือโคตรเหนื่อยเลยนะคะ)
ผู้หญิง ส่วนมากทำเสิร์ฟค่ะ เงินดีแต่ขึ้นอยู่กับดวงเหมือนกัน เราเคยดูบัญชีรายรับของพี่คนนึงที่ทำเสิร์ฟ คือเงินที่ได้มันโคตรไม่แน่นอนเลย วันอาทิตย์ทั้งวันได้ $200 แต่วันจันทร์ได้ $60 อย่างงี้ งานอีกอย่างที่ผู้หญิงทำได้ก็คือแคชเชียร์ โฮส (พนักงานต้อนรับ)
แล้วที่เหลือก็เหมือนผู้ชาย แต่ต้องถึกเขาไว้นะ เพราะกระทะที่นี่หนักมากกก ส่วนพวกทำแอพกับ pack to go ผู้หญิงก็ทำได้นะ ส่วน delivery นี่ไม่แน่ใจ แต่เห็นเขารับแต่ผู้ชาย
หนักกว่าที่ไทยแน่นอน อย่างที่ไทย พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งนี่ดูแลกี่โต๊ะคะ เราว่า 4-5 ก็เยอะแล้วนะ เราเห็นในร้านอาหารที่ไทย พนักงานจะเดินชนกันตาย ที่นี่เยอะกว่ามาก เราว่าคนหนึ่งดูหลายโต๊ะมาก เพราะเงินได้มาจากค่าทิป ถ้าพนักงานเยอะ ก็หารเยอะ ไม่พอกินพอดี ดังนั้นส่วนมาก ก็จะเน้นคนน้อยเข้าไว้
อย่างร้าน To Go ร้านหนึ่งแบบฟู้ดคอร์ด วันหนึ่งทำประมาณ 100 กว่าออเดอร์ค่ะ ก็เหมือนไม่เยอะนะ แต่ต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่หั่นผัก เตรียมเครื่องแกง ฯลฯ แล้วเมนูในร้านไม่ได้มีแค่อย่างเดียวเหมือนที่ไทย เช่นขายข้าวก็ข้าว เกี๋ยวเตี๋ยวก็เกี๋ยวเตี๋ยว ต้มชาไทย ปอกมะม่วง ทอด appetizer ทำน้ำจิ้ม (4งานหลังหน้าที่เราเอง 55) ร้านไทยที่นี่ เน้นครบวงจร มีตั้งแต่ข้าวผัด ผัดไทย ส้มตำ ยำวุ้นเส้น แกงเขียวหวาน ปอเปี๊ยะสด ไอติมทอด ฯลฯ เครื่องปรุงไรงี้ ส่วนมากก็ต้องทำเองด้วย ง่ายๆ คือทั้งวันที่ต้องทำ (10-12 ชั่วโมง) ไม่ค่อยมีเวลานั่งพัก หรอก ทำงานอย่างเดียว
อย่างร้านข้างบนที่ว่าวันละ 100 ออร์เดอร์ ก็ทำกัน 3 คนค่ะ คือในครัว 2 คน (เตรียมเครื่องปรุง หั่นไก่ หั่นผัก แล้วก็ทำกับข้าว + ทำความสะอาดร้าน) และเรา ตำแหน่งหน้าร้าน 1 คน ทำทุกอย่างตั้งแต่รับออร์เดอร์ คิดเงิน แพ็คกล่อง ทอด appetizer ทั้งหมด ทอดไก่ ทำซุป (ในครัวผสมให้แล้ว เราเอามาอุ่น ลวกผัก ใส่เครื่องลงไป) ปอกมะม่วงสำหรับข้าวเหนียวมะม่วง ทำน้ำจิ้ม ทอดไอติม ทำพริกน้ำส้ม ชงชา ลวกเกี๊ยวซ่า ตักข้าว ลงไปขนตะเกียบกับพวกช้อนส้อมมาจากห้องเก็บของใต้ดิน ปิดบัญชี นับตังค์ เช็ดกระจก ปัดฝุ่น (เฉพาะตอนเจ้านายจะมา 55) ฯลฯ
แล้วงานร้านอาหารก็เป็นงานจุกจิก เช่นคุณทำครัว (ทำผัด) ต้องชิมอาหารทุกจานก่อนออกเสิร์ฟ แบบวันนึงผัดเป็นร้อยกระทะ ก็ชิมไป… ส่วนเสิร์ฟนอกจากจะต้องรับมือกับลูกค้าหลายประเภท และหลายความเรื่องมากแล้ว ก็ต้องจำเมนูในร้านให้ได้ทั้งหมด (เมนูเยอะค่ะ เพราะร้านไทยส่วนมาก มีทุกอย่างตั้งแต่ส้มตำยันผัดไทย) ถ้าพ่อครัวลืมใส่ผักชนิดนี้ แล้วคุณยกไปเสิร์ฟ หรือถ้าสีอาหารไม่เป๊ะ (พ่อครัวอาจผัดนานเกิน) แล้วคุณยกออกไปเสิร์ฟ แล้วโดนตีกลับ ถือว่าเป็นความผิดความเวท (Waitress) อะไรแบบนี้
บางวันทำงานดีมาก ขายดีพอประมาณ แต่ทิปน้อย เพราะลูกค้าให้น้อยก็มีบ่อยไป
เอาตรงๆ มันก็หนัก แต่ก็ไม่ได้หนักมากแบบที่พวกหลายคนชอบพูดๆ กันไว้ (คืออาจจริง แต่เป็นส่วนน้อย) เท่าที่เห็นก็ทำงานพอๆ กับพวกแรงงานขั้นต่ำของเมกันนั่นแหละ (พวกพนักงานห้าง/ก่อสร้าง/ ทำความสะอาด) ก็เท่านั้น ไม่ใช่ทาสนะ
ในเว็บบอร์ดชื่อดังของไทย เราเข้าไปอ่านแต่ละทีแบบ “ทำงานถูกโขกสับ” “ทำงานอย่างกับทาส” “เดี๋ยวก็ถูกจับส่งกลับ” พวกนี้จริงๆ อาจมีค่ะ แต่น้อยมาก (เรายังไม่เคยได้ยินกับตัวเลยสักคน) ยิ่งที่บอกว่าทำงานไปแล้วเดี๋ยวก็ถูกส่งกลับนี่ เราว่าไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์หรอกค่ะ
แต่ที่มันเหนื่อยคือมันทั้งเหนื่อยกาย (ทำทั้งวันอาทิตย์ละหลายวัน) แล้วก็เหนื่อยใจ สารพัดดราม่า นินทา ว่าร้ายนี่มีหมด
ส่วนมากบอกเลยว่าพวกที่มีสิทธิ์ส่งกลับมากๆ คือพวกทำตัวให้เป็นเรื่อง เคสที่ชอบพูดกันแล้วพูดกันอีกก็คือใน ฟลอริด้า ที่เด็กไทยมาด้วยวีซ่านร. แต่โดดไม่ไปเรียน จนทาง immigration มันตามมาจับ (คือใน I20 มีที่อยู่เราอยู่) ง่ายๆ คือถ้ามาด้วย F1 แล้วโดดวีซ่าต้องเปลี่ยนที่อยู่ คือหนีเป็นคนไร้ตัวตนอ่ะ
ส่วนอีกเคสก็คือเรื่องแต่งงานที่ร้านใน Seattle ที่คนไทยเหมือนช่วยลูกน้องให้แต่งงานเพื่อได้ใบเขียว
ถ้าใครมีเคสอื่น บอกหน่อยนะคะ เราก็กำลังตามหาอยู่ 55
ง่ายๆ คือถ้าเป็นโดดวีซ่าแล้วอยู่เฉยๆ ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ ทำตัวไร้ตัวตนเข้าไว้ เพราะในเมกามีคนโดดวีซ่าเยอะมากกกก เขาทำเหมือนสนแต่จริงๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่ถ้าพยายามปลอมแปลงหรือยุ่งกับพวกเอกสาร อย่างเช่นถือ F1 แต่ไม่ไปเรียนเลย มันกลายเป็นเรื่องปลอมแปลงเอกสารไง ก็เลยโดนตามจับ ต้องหนีกันไป
เราไม่รู้เรท รัฐอื่น แต่ถ้าบอสตัน จะอยู่ที่ $80-130 ต่อวัน (วันนึงประมาณ 10-12 ชั่วโมงนะ) ยกเว้นเสิร์ฟที่ได้ตามจำนวนลูกค้า… ถ้าได้ต่ำกว่านี้ หางานใหม่เลยนะ
ตอบแบบไม่โลกสวย ไม่ยากค่ะ เรารู้สึกเหมือนตอนนี้ร้านไทยกำลังขาดคนยังไงไม่รู้ คือ ตอนนี้พ่อครัวหลายคนในร้านไทยก็กลายเป็นพวก สปน. (พวกอเมริกากลาง-ใต้) ไปแล้ว เป็นโรบินฮู้ดเหมือนกัน อาจเพราะร้านไทยเปิดมากขึ้นหรือคนไทยไม่ค่อยมาแล้วก็ได้มั้ง แต่อย่างที่บอกว่างานร้านอาหารเป็นงานที่หนักและจุกจิก ก็จะมีการเปลี่ยนร้าน ลาออกกันบ่อยมาก น้อยคนที่จะทำได้ทนนานๆ นอกจากจะทำให้ถูกใจลูกค้าแล้ว ก็ต้องถูกใจเจ้าของร้านด้วย
แต่จริงๆ มันแล้วแต่ดวงค่ะ บางช่วงก็คนเกิน บางช่วงก็คนขาด
**ส่วนมากงานในครัวจะขาดตลอดเวลา (งานโคตรหนัก ไม่มีใครอยากทำ) ส่วนพวกงานเสิร์ฟร้านดังๆ (ทิปดี) ก็จะเต็มตลอด มือแอพก็ขาดตลอดเพราะเงินน้อยไรงี้ ส่วนตัวคิดว่าฝั่งตะวันออกหางานง่ายกว่าตะวันตกค่ะ
อันนี้แล้วแต่ดวงค่ะ ดวงล้วนๆ เลย แต่ส่วนมากก็นิสัยพื้นฐานของคนเป็นเจ้าของ เช่นจุกจิก อารมณ์เสียง่าย (คืองานร้านอาหารมันเป็นงานเครียด) เห็นแก่ผลกำไรเป็นหลัก พนักงานทะเลาะกันเอง ทะเลาะกับพนักงาน ฯลฯ
อยากได้เจ้าของดีๆ ทำไง สวดมนต์เอาค่ะ ถ้าเป็นคนดีเดี๋ยวก็ได้เจอคนดีๆ เอง 55
คำถามเหมือนตัดพ้อ 55 มันก็ผิดในแง่ของกฎหมาย เหมือนคุณถามเพื่อนว่า “ลอกข้อสอบผิดไหม” มันก็ผิด แต่มีคนทำไหม…ก็มี ถามว่าอเมริกาจริงจังเท่าไหร่ เราว่าก็ไม่ (ยกเว้นตรงตรวจคนเข้าเมือง) อย่างเราเดินๆ อยู่ในเมกา ก็ไม่เคยมีมาขอตรวจดูพาสปอร์ต ฯลฯ อะไรเลยนะ เราเองก็ไม่เคยพกพาสปอร์ตเลย (ไม่สามารถใช้มุกแบบคนไทยว่าร้องเพลงชาติ พูดไทยได้ไหมด้วย 55) เท่ากับว่าพวกที่หลบเข้ามาผิดกฎหมายก็ไม่ค่อยโดนสุ่มหรอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นกับ “ดวง” และสภาพแวดล้อม ถ้ามีใครไปแจ้ง คุณก็โดนส่งกลับบ้านแน่ๆ
เพราะจริงๆ ตำรวจที่เมกา เขาจะไม่ยุ่งกับพวกอยู่แบบผิดกฎหมายเลย คนที่จะยุ่งคืออีกหน่วยงานหนึ่ง
เคยมีตำรวจมาซื้อกับข้าว ฮามาก คือทั้งร้านมี 3 คนคือเรากับพ่อครัว 2 คน คนหนึ่งเป็นคนไทยที่โดดวีซ่าอีกคนเป็นเม็กซิกันที่แอบหนีเข้าเมืองมา คือเกร็งทั้งร้าน 55 (พ่อครัวบอกว่าแอบเพิ่มกุ้งให้เพิ่ม แซงคิวให้ด่วนที่สุด ให้เขารีบๆ ไป)
สรุปคุณตำรวจให้ทิปด้วย 55
ถ้าพูดตามที่ใจเราคิดก็คือ มันก็ไม่ผิดมาก เท่ากับการทำงานผิดกฎหมาย/โกงประเทศ/ติดสินบนหรอกค่ะ
ถามว่าทำอะไรไม่ได้บ้างจะง่ายกว่า สิ่งที่ทำไม่ได้ก็คือเข้าออกประเทศ ขับรถ (ยกเว้นตอนช่วงที่มาใหม่ๆ รีบสอบใบขับขี่ไว้ ก็จะใช้ใบขับขี่นั้นได้อีก 5 ปี แต่เดี๋ยวนี้ก็มีหลายรัฐที่คนโดดวีซ่าทำใบขับขี่ได้) ทำ SSN (ยกเว้น NYC ขอ Tax ID ได้)
ส่วนประเภทที่เสี่ยงหน่อยก็เช่น ขึ้นเครื่องบิน (เมื่อก่อนเราคิดว่าขึ้นไม่ได้ เพราะต้องโชว์พลาสปอร์ต แต่พี่ที่รู้จักขึ้นได้อ่ะ…แล้วแต่ดวงนะอันนี้)
ที่เหลือก็เห็นทำได้ปกติอ่ะ เช่าบ้าน ขึ้นรถเมล์ ซื้อข้าวกิน ปาร์ตี้ ซื้อเหล้า เข้าผับ เปิด bank ฯลฯ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ทำได้นะคะ
ก็ติดคุกสักพักรอ ถูกส่งกลับไทยพร้อม blacklist ห้ามเข้าประเทศ
เคยมีคนบอกว่าเท่ากับเป็นพลเมืองชั้นสองก็ทำนองนั้น แต่ที่แน่ๆ ก็คือส่วนมากต้องฝ่าฟันปัญหาด้านร่างกายและจิตใจ เช่นความเหงา ความเศร้า ความเหนื่อย ความคิดถึง ใครที่มีพ่อแม่ แฟน ลูก ก็ไม่ได้เจอกันเป็นปีๆ (หรือหลายๆ ปี) ถูกหลอกบ้าง ฯลฯ ที่เห็นหนักๆ ก็เวลาพ่อแม่ป่วย ลูกคิดถึง ญาติเสีย เพื่อนแต่งงาน อะไรพวกนี้ก็กลับไทยไม่ได้
ส่วนเรื่องสุขภาพ พวกทำงานร้านอาหารนานๆ มีปัญหาเรื่องกระดูก หลัง เข่า เราเห็นมาเยอะมากกกก เพราะยืนทั้งวัน ยกของหนักมากๆ มาทั้งวัน ปัญหามักเกิดเมื่อเลยอายุวัยรุ่นไปแล้ว
เราก็นึกข้อเสียไม่ค่อยออก เพราะเราก็ไม่ใช่โรบินฮู้ด ใครอยากรู้ก็ลองหาๆ อ่านในเน็ตเอา เราว่ามีเยอะแยะ… คนส่วนมากที่มาส่วนมากก็เห็นเป็นเหตุผลเรื่องเงินทั้งนั้นนะ
ข้อเสียอีกอย่าง ก็คือถูกพวกคนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะในเน็ตนี่แหละหลอก “เราเข้าเมืองผิดกฎหมาย ถูกทำร้ายก็แจ้งความไม่ได้นะ” จริงๆ แจ้งได้ค่ะ ตำรวจที่นี่ ไม่ได้มีหน้าที่ส่งตัวคุณกลับไทย (มันเป็นอีกหน่วยงานหนึ่ง)
อีกอย่างหนึ่งคือ เวลาถูกเอาเปรียบ ถูกหลอกฯลฯ จะออกมาโวยวาย เรียกร้องสิทธิไม่ได้ เช่น ถูกโกงค่าแรง โกงทิป อาจบ่นได้แค่กับเพื่อน หรือคนสนิท แต่คนอื่นๆ ก็อาจด่า เพิกเฉย หรือซ้ำเติมได้
เอาจริงๆ ตามกฎหมายเหมือนจะฟ้องได้นะ ถ้าถูกเจ้าของเอาเปรียบ แต่ต้องเป๊ะเรื่องขั้นตอนจริงๆ แต่คนไทยที่โดดวีซ่าไม่ค่อยมีใครกล้าทำเท่าไหร่…
อีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นงานที่ไม่มีอนาคตค่ะ นึกถึงคนที่ทำงานแรงงานขั้นต่ำไปวันๆ ถ้าคิดจะเก็บเงินทำนู่นนี่เป็นของตัวเองก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าสักแต่ทำไปวันๆ เงินมาเที่ยวมาใช้หมดก็….
แล้วไม่รู้นะ แต่สังคมในร้านอาหารก็สังคมคนไทยเยอะๆ ไง เล่นหวย กินเหล้า ซื้อของ ช็อปปิ้ง ก็เห็นคนส่วนใหญ่ถ้าไม่นับพวกส่งเงินกลับบ้านที่ไทยแล้วก็พวกออกมาทำร้านเป็นของตัวเอง ก็เก็บเงินกันไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวเท่าไหร่
ส่วนมากก็แนะนำกันไป เพื่อนของเพื่อน หรือเดินตรงไปสมัครเองในร้านอาหาร ถ้าของบอสตันเข้าไปส่องเว็บ bevariety ดู
การทำงาน ก็เหมือนกับโรบินฮู้ดข้างบนนั่นแหละ ขยันตั้งใจทำงาน….
ไม่ต้องบอกใครดีที่สุดค่ะ ยิ่งพวกเด็กต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนอย่าไปพูดให้เขารู้เลยนะคะ คำเตือนสั้นๆ คือ
เรื่องของเรื่อง มีอยู่วันหนึ่ง เราก็ไปกินข้าวกับคนจีนที่ชื่อ M คนนี้เราสนิทพอสมควร เราก็พูดเรื่องทำงานแบบผิดกฎหมายขึ้นมา นางก็บอกว่าเนี่ยๆ เธอรู้ไหม J (คนจีนอีกคน เป็น Classmate เรา) ทำงานเสิร์ฟอยู่ที่ Chinatown เราก็พยายามเซาะแซะ ถามต่อ M ก็บอกว่าไม่รู้ เราก็เลยบอก M ว่างั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปถาม J เอง M ก็บอกว่า “เออดี อยากรู้เหมือนกัน”
พอวันรุ่งขึ้นเราก็ไปถาม J หลังเลิกเรียน “Are you working?” นางก็ทำหน้าแอบแบบไม่เนียน “Working?” นางร้องออกมาเสียงดังพร้อมตาโตเป็นไข่ห่าน (เพื่อ? คืออุตส่าห์พูดเสียงเบาถาม..) นางก็แอ็บไม่ยอมรับต่อไป เราก็เลยตีเนียน ถามไปเรื่อยๆ นางก็ยอมรับค่ะ ว่าทำ เราก็เลยถามว่าได้ตังค์เท่าไหร่ นางบอกว่าทำครึ่งวันได้ประมาณ $30-50 เหรียญ เราก็ถามไปว่าทำร้านไหน นางก็บอกขื่อร้านอาหารมา เราก็แบบ เฮ้ย! มันร้านอาหารญี่ปุ่นเกาหลีนิ เจ้าของเป็นคนจีนหรอ นางก็บอกว่าใช่! แล้วนางก็พยายามคาดคั้นว่าเราได้ข้อมูลมาจากไหน พร้อมกับหันไปบ่นกับ S เพื่อนสนิทนางเป็นภาษาจีน เราฟังจีนไม่ออกแต่ก็จับน้ำเสียงเป็นค่ะ) เรื่องนี้มีแค่ S กับ J2 เท่านั้นที่รู้ เราก็ต้องปกป้องแหล่งข้อมูลเราว่า “ลืม” ซึ่งเราเชื่อว่านางก็ไม่เชื่อว่าเราจะลืม
ผ่านไป 1 ชั่วโมง นางก็ Message มาค่ะ เราก็รออยู่แล้ว เพราะรู้ว่านางไม่สบายใจมากๆ มาพยายามคาดคั้นเราต่อว่า รูมเมตเธอใช่ไหม (อ้าวรูมเมตเกือบซวย 55) ก็ต้องปกป้องรูมเมตก่อน เราก็เลยบอกไปว่า ไม่ต้องห่วงหรอก สำหรับเราเป็นเรื่องปกติมาก เนี่ย แถว XX ก็มีคนที่เรารู้จัก (จริงๆ ไม่ได้รู้จักค่ะ แค่รู้จักภาษาไทยเหมือนกัน) ทำอยู่ บลาๆ เราก็พูดไป นางจะได้สบายใจ พร้อมตบท้ายว่า “สู้ๆ นะ” 55
เราก็ไม่รู้ว่ามันยังไง แต่แสดงว่าคนจีนกลัวเรื่องนี้มากๆ ในขณะที่คนไทยทำกันหมด (คือเรารู้จักคนไทยไม่กี่คนหรอกในบอสตัน จาก Meetup จากเพื่อนของเพื่อน คือ “เกือบทุกคน” ทำร้านอาหารหมดเลย) และสังคมจีนน่ากลัวค่ะ เต็มไปด้วยการใส่ร้ายป้ายสี หักหลังแบบละครไทยเป๊ะๆ เลย ก็ว่าละครไทยกับละครจีนทำไมมันดูคล้ายๆ กัน 55
เมื่อวันก่อน เราก็ไปกินข้าวกับ M อีกครั้ง ก็ถาม M ว่า “แกไปรู้เรื่อง J ทำงานมาจากใคร” M ก็บอกว่าจาก S เราแบบ สาดดด ถามเพื่อนแกก่อนดีกว่าไหมคะ
ก็ลองนึกถึงเรามองพม่า/ลาว/เขมร ที่หนีมาทำงานที่ไทยยังไง เขาก็มองเราอย่างงั้นแหละ แน่นอนว่าบางคนก็ไม่ชอบ (กลัวการก่อการร้าย ปล้น << แต่จริงๆ ก็เคยได้ยินแต่คนอเมริกันเท่านั้นแหละที่ทำ) บางคนก็เฉยๆ เออ เรื่องของเขา บางคนก็ไม่รู้ว่าพวกฮู้ดคือคนต่างชาติ (อเมริกันชอบคิดว่าทุกคนคืออเมริกัน แม้ว่าสำเนียงเราจะไม่ได้เป๊ะมากก็ตาม) ใครอยากรู้ต่อว่า คนอเมริกันคิดกับโรบินฮู้ดยังไง ก็ลอง Search หาดูในเน็ตเอา ส่วนมากก็คิดในแง่ลบอยู่นะ (ก็อารมณ์เหมือนโพลสอบถามว่า “คุณคิดยังไงกับการลอกข้อสอบคะ”) มันก็ออกมาเป็นแง่ลบอยู่ละ
แต่ประเด็นคือคนอเมริกาเขาไม่รู้หรอก คือถ้าเราเจอคนพูดสำเนียงไทยเหน่อๆ เราก็รู้แล้วป่ะว่าแรงงานพม่าชัวร์ แต่เมกาเขาไม่ค่อยรู้ (หรือรู้ก็ไม่สน) ขนาดเราอยู่เมกาคนถามก็มั่วๆ ไปว่ามาจาก LA บ้าง NYC บ้าง ยังมีคนเชื่อ 55 ขนาดสำเนียงเราก็ไทยแท้นะ บางคนยังถามพ่อแม่อยู่ที่นี่หรอ 55 ถ้าเป็นลูกค้าเราก็บอกไปว่าอ้อ ใช่ มากันทั้งครอบครัว เนียนๆ ไป 55
แต่จริงๆ เราว่าอเมริกาก็ไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ คือแบบเราว่าร้านอาหาร ร้อยละ 90 โรบินฮู้ดทั้งนั้น เข้า Chinatown ก็มีแต่พนักงานคนจีน ไปแถว Korean town พนักงานก็มีแต่คนไทย ไทยแบบทุกร้านจริงๆ…
ส่วนบางคนก็ไม่รู้ว่าเลยว่า โรบินฮู้ดคืออะไร เรายังเคยเจอเพื่อนเมกัน นางยังแบบงงๆ ว่าเฮ้ย กว่าพวกยูจะเข้ามาเมกาได้ ยุ่งยากขนาดนั้นเลยหรอ (เออสิวะ) เหมือนที่คนไทยไม่เคยรู้ว่าการที่จะได้ Work Permit ทำงานที่ไทยสำหรับชาวต่างชาตินั้น ยุ่งยากมากกกก บางคนก็ยังมีแบบ “พวกเธอ (international student) สบายนะไม่ต้องทำงาน” …เออ ชั้นทำไม่ได้น่ะ ไม่ใช่ไม่อยากทำ
การทำงานก็เป็นการทำให้เพื่อนยอมรับนัยๆ ทางหนึ่งด้วย 55 ตอนแรกกระเทยที่ทำงานกลุ่มมองชั้นอย่างจิก คงเอาชั้นไปรวมกับพวกกลุ่มคนเอเชียรวยๆ สวยๆ แบรนด์เนม แต่พอคุยแล้วบอกว่าชั้นทำงานปั๊บ สายตานางเปลี่ยนเลยค่าาาา
ถ้าใครพูดถึงเรื่องโรบินฮู้ด โดยเฉพาะในเว็บบอร์ดดังๆ ของไทย ก็จะมีคนแอนตี้ชึ้นมามากมาย เพราะอะไร (ตามความเห็นเรา)
เราเฉยๆ กับโรบินฮู้ดในอเมริกานะคะ ก่อนมาก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ (เพราะอ่านกระทู้ความเห็นคนไทยไปเยอะ) แต่พอมานี่ก็เฉยๆ ก็คนทั่วไปป่ะ ไม่ใช่ว่าโดดวีซ่าปุ๊บกลายเป็นคนเลวประหนึ่งฆาตกรต่อเนื่องเหมือนที่บางเว็บไซต์คนเขาเปรียบเปรยกัน
เราว่าโรบินฮู้ดก็ดีกว่าพวก Homeless อเมริกัน ที่ชอบตะโกนแกล้งหรือล้อคนทั่วไปอีกนะคะ ส่วนมากฮู้ดที่เจอ ก็นิสัยดีค่ะ เรียบร้อย เจียมตัว อย่างแม่บ้านที่หอพัก เราเดาว่านางก็น่าจะเป็นฮู้ดค่ะ ก็น่ารัก ทักทายเราตลอด บางทีก็ชวนคุย (แต่เราก็ฟังไม่ค่อยออก เพราะสำเนียงนางจะติดไปทางสเปนมาก)
ส่วนความเห็นต่อฮู้ดที่เป็นคนไทยก็เฉยๆ อาจเพราะเราไม่ได้รับผลกระทบจากข้อ 2-3 เราก็ไม่ได้ว่าสนับสนุนหรือคัดค้านนะ ชีวิตคนเรามันเกิดมาต่างกัน เงื่อนไขชีวิตต่างกัน (ไม่ต้องมาด่าว่า ที่มาเป็นฮู้ดเพราะเห็นแก่เงิน เพราะพวกฮู้ดก็จะตอบกลับไปว่า “เออ ทำงานก็เพื่อเงินไง”) ถ้าถามเรา เป็นฮู้ดก็ดีกว่าไปโกงกิน ติดสินบน หรือทำงานประเภทที่ผิดกฎหมายนะคะ
ส่วนข้อ 4 เราเฉยๆ ค่ะ (ปล. มีฮู้ดไทย ก็แสดงว่าได้กินอาหารไทย นึกดูถ้าไปกินร้านไทย แต่พ่อครัวเป็น สเปน นี่เศร้าเลยนะ..การมีที่โรบินฮู้ดไทยน้อยลงก็ไม่ได้หมายความว่าร้านไทยจะเปลี่ยนจากพนักงานไทยไปเป็นอเมริกันนะคะ เท่าที่เห็นพอหาคนไทย/ฮู้ดไทยไม่ได้ ก็ไปจ้าง สปน มาแทน…)
สุดท้ายชีวิตใครชีวิตมันค่ะ ชีวิตเป็นของคุณ
ปล. ข้อมูลเราอาจไม่เป๊ะนะคะ เพราะว่าเราไม่ใช่โรบินฮู้ด ใครเจออะไรผิดพลาดชี้แนะได้นะคะ
มาเพิ่มค่ะ
เรารู้ว่าโพสนี้คนอ่านเยอะมาก แล้วเราก็รู้ว่ามีคนที่คิดอยากมาอเมริกาเพื่อเป็นโรบินฮู้ดหรือคนที่อยู่อเมริกาแล้วกำลังตัดสินใจว่าจะโดดดีไหม เยอะมากกก
อยากบอกว่าส่วนหนึ่ง โพสนี้ก็เป็นเพียงมุมมองของเราคนนึงเท่านั้น อาจได้กว้างหน่อยแต่ก็ไม่ได้ครอบคลุม แต่ละคนมีพื้นฐานชีวิต การศึกษา ครอบครัว และพื้นฐานการเอาตัวรอดมาต่างกัน บางคนต้นทุนมาดี การศึกษาดี โอกาสเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็มีมาก แต่สำหรับบางคนมันไม่ใช่
“การอยู่อเมริกาต้องดิ้นรน” เพื่อเงิน
งานแบบโรบินฮู้ดเงินดีก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่หายไปก็คือเวลาในชีวิตคุณ เช่นถ้าเป็นวัยรุ่น ยี่สิบกว่า ในขณะที่คุณต้องมานั่งหั่นผัก เสิร์ฟอาหาร เพื่อนของคุณที่ไทยอาจกำลังนัดกินข้าว ไปเที่ยวกันที่ไหนสักแห่ง หรือถ้าอายุสามสิบกว่า เวลาที่หายไปแน่ๆ ก็คือเวลาของครอบครัว (ถ้าคนมีครอบครัวนะ)
บางคนอาจบอกว่าประสบการณ์มันคุ้ม ถ้ามองในแง่ประสบการณ์มันก็โอเค แต่โรบินฮู้ดส่วนมากเน้นเรื่องเงินเป็นหลักอยู่แล้ว…แต่อย่างว่า แต่ละคนมาจากพื้นฐานต่างกัน ระหว่างใช้แรงงาน (ขั้นต่ำที่ไทย) กับมาใช้แรงงานขั้นต่ำที่นี่ ที่นี่มันก็ดีกว่าอยู่แล้ว
ชีวิตคนทำงานแรงงานจริงๆ ในอเมริกาไม่ได้สนุก หรือตื่นเต้น หรูหราอะไรมากมาย มันก็คือชีวิตแบบหนึ่ง หลายคนที่อาจเห็นพวกอยู่เมกา ชอบโพสรูปสวยๆ ไปเที่ยว ใช้ของแบรนเนม หน้าไม่ใช่คนที่พื้นฐานทางบ้านมารวยจริงๆ ส่วนมาก (เน้นว่าส่วนมาก) หากันเจอตามร้านอาหารนี่แหละ
เห็นตอนกลางวันวิ่งเสิร์ฟกันอยู่ในร้าน กลางคืน สวยเปรี้ยวกันหมด 55
อยากบอกว่าชีวิตของคนอื่นที่เราเห็นใน FB หรือ IG มันเป็นแค่สักไม่ถึงครึ่งของชีวิตทั้งหมดของเขา
และแน่นอน สิ่งที่เขาเลือกแชร์ ส่วนมากก็มีแต่เรื่องดีๆ ใครจะมาโพสตัวเองยกจานเสิร์ฟ ถูกลูกค้าด่า นั่งล้างส้วม ขัดพื้นอยู่ล่ะ จริงไหม
อีกสิ่งหนึ่งที่หายไปก็คือ “ความฝัน”
บางคนเลือกมาอเมริกาเพราะมาตามฝัน (ไม่นับเรื่องเงิน) คือฝันว่าอยากได้อยู่ต่างประเทศ ได้มาอยู่เมืองนอก แต่อยากถามตัวเองลึกๆ ขุดให้เจอว่าลึกกว่านั้น ทำไมถึงอยากอยู่เมืองนอก อยากได้อะไรกันแน่ในชีวิต
ชื่อเสียง เงินทอง คำชมเชย มีชีวิตให้คนอิจฉา (ทั้งในโลกจริงๆ หรือโลก social)
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด คนที่อยากรวย อยากมีคนชมเยอะๆ อยากได้รับการยอมรับ ฯลฯ เป็นปัจจัยความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มากๆ แค่แต่ละคนมีความต้องการเหล่านี้ไม่เท่ากัน แค่ขุดให้เจอว่าเราต้องการอะไรกับชีวิตกันแน่ แล้วถามว่ามันใช่ที่เราต้องการไหม มีอะไรที่ลึกลงไปกว่านั้นไหม ถ้าใช่ก็กล้าที่จะยอมรับมัน
(ส่วนมากคนที่บอกว่าความฝันอยากมาอยู่เมืองนอก ลึกๆ ในใจคือมีปมอะไรสักอย่าง ไม่กำลังหนีบางสิ่งก็กำลังไขว่คว้าหาบางอย่างมาเติมเต็ม) ลองหาให้เจอนะ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แล้วเราจะได้มีชีวิตแบบยังมีความฝันต่อไป..ต่อให้โดดหรือไม่โดดวีซ่าก็ตาม
อย่าปล่อยให้ชีวิตวันนี้กลายเป็นแค่ผลของเมื่อวาน อยากมาเมืองนอก > >เพราะอยากเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่ความรู้ไม่ถึง > เรียนภาษาก่อนแล้วกัน> ไม่มีเงินเท่าไหร่เลยหางาน part time ทำไปด้วย> ทำไปทำมาเงินดีนะ > อยากมีเวลาทำเยอะกว่านี้ (ขี้เกียจเรียนแล้ว) + ไม่อยากจ่ายค่าเรียนแพง> ปล่อยวีซ่าขาดไปเลยดีกว่า > โรบินฮู้ด
แต่ให้ใช้ชีวิตวันนี้ เพื่อให้นับพาเราไปถึงความฝัน ความหวัง สิ่งทีต้องการในวันพรุ่งนี้นะคะ
สิ่งที่แพงที่สุดในชีวิตคนๆ หนึ่งไม่ใช่ค่าน้ำนม ค่าอาหาร ที่อยู่ หรือการศึกษา แต่มันคือ “เวลา”
งานแรงงานในอเมริกา ยิ่งถ้าเป็นโรบินฮู้ดโอกาสที่จะก้าวหน้าต่ำมาก มันคุ้มไหมกับที่เราเอามาแลก ก็ต้องลองคิดเอาเอง เพราะแต่ละคน ต้นทุนและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบณ ตอนนี้ ไม่เหมือนกัน
สมมติ
ตอนอายุ 23 คุณกับเพื่อนจบป. ตรี เริ่มเข้าทำงานเริ่มต้นที่ไทยเงินเดือนขั้นต่ำเท่ากัน
A ตัดสินใจมาเป็นโรบินฮู้ดที่เมกา ส่วน B ทำงานต่อไปที่ไทย
แน่นอนว่าชีวิต A แม้จะนับเป็นตัวเงิน/ รูปถ่าย/ สถานที่อยู่ ดูดีกว่า B ทุกอย่าง และ B ถ้าส่องดูชีวิตของ A ผ่านทางโซเชียลมีเดีย คงนึกอิจฉา ว่าฉันนั่งรถเมล์ รถก็ติดอากาศก็ร้อน ไปทำงานเข้า 9 ออก 5 ในขณะที่ A ได้อยู่เมืองนอก อากาศก็ดี มีเงินซื้อแบรนด์เนม เดี๋ยวๆ ก็ไปนิวยอร์ค เดี๋ยวๆ ก็ไป outlet
แต่ลองให้เวลาผ่านไปสัก 5-10 ปี ดู
ชีวิต B (ถ้าขยัน) ก็ควรจะได้เลื่อนขั้น ปรับเงินเดือน มีเพื่อนฝูง ได้เจอทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ (เงินเดือนอาจยังไม่เยอะเท่า A ถ้าเทียบกันตรงๆ) ส่วน A ก็ยังเหมือนเดิมไม่แตกต่าง อาจหาร้านที่เงินเดือนดีขึ้น แต่ก็ยังทำงานเหมือนเดิม แล้วยิ่งอายุเพิ่มขึ้น B ก็ได้เลื่อนขั้น น่าจะต้องใช้แรงกายน้อยลง อาจได้เป็นหัวหน้าฝ่าย หรือมีเวลาไปเพิ่มพูนความรู้ (เรียนต่อโท/เรียนภาษา/เรียนเฉพาะทาง) ในขณะที่ A เหมือนเดิม
แต่กลับกัน ถ้าหาก B เป็นคนไม่ขยัน ไม่แสวงหาความรู้ เป็นพวกเช้าชาม เย็นชาม ใช้ชีวิตทำงานไปวันๆ เงินก็อาจได้ปรับขึ้นนิดหน่อย ตามอัตราเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับ A…. ถ้าเป็นเช่นนี้ ชีวิตทั้งคู่อาจไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยค่าเงินที่มากกว่าของ A ทำให้เขาสามารถซื้อข้าวของ หรือมีเงินเก็บ (ถ้ารู้จักเก็บ) มากกว่า B ด้วย เมื่อเทียบเป็นเงินบาท
ปล.คำว่าอากาศดีมันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เหลือหน้าหนาวก็เข้ากระดูกเหมือนกัน เราเคยเดินกลับบ้านเป็นโลท่ามกลางพายุหิมะและอุณหภูมิ -20 องศา โอ้ย ถึงบ้าน หน้าแดง จมูกแดงไปหมดเลย)
โรบินฮู้ดที่ได้ดีก็มี แต่คนที่เหมือนเดิมก็ยังมีมาก
การมาเป็นโรบินฮู้ดเรามองว่ามันคือการเสี่ยงอย่างหนึ่ง เสี่ยงที่ว่าไม่ใช่เรื่องกลัวตำรวจจับ เข้าคุกอะไรนั่นหรอก แต่เสี่ยงที่ว่า คือการเอาอนาคตตัวเองมาเป็นเดิมพัน บางคนอาจบอกว่า “มาหาเงินให้ได้เท่านี้ๆ แล้วก็กลับ” แต่มนุษย์เรา หาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอหรอก คนที่เคยหาเงินได้เท่านี้ต่อเดือนกลับไทยไปจะไปทำอะไรให้ได้เท่านี้ (ขนาดเราทำ part-time ขำๆ เรายังคิดเลย)
สุดท้ายมันก็วนเวียน ไม่หลุดออกจากวงจรทำงาน.. กลายเป็นทาสของเงินไป
แต่ก็ใช่ว่าคนที่ไทยจะไม่เป็นทาสของเงิน ของวัตถุนิยมเสียเมื่อไหร่
ทางที่ง่ายคือ ถามว่าเป้าหมายในชีวิตของคุณคืออะไร อย่าเลือกที่จะมา (เมกา) เพราะเหตุผลแค่เบื่อไทย เพราะพอมาอยู่ที่นี่ ตื่นเต้นช่วงแรก แต่หลังจากนั้นก้จะเบื่อเหมือนเดิม (อันนี้เราเจอมากับตัว และคนที่เรารู้จักเป็นเหมือนกันหมด…ทุกวันนี้เบื่อทั้งไทย ทั้งอเมริกา และญี่ปุ่นด้วย ไม่รู้จะไปอยู่ไหนแล้วเนี่ย 55)
การมาเมกา ดูในเฟสบุ๊คของคนอื่นที่อยู่ มันก็ดูสวยงามนะ แต่พอมาอยู่จริง มันก็จะชิน =_= อย่าไปส่องพวก FB คนที่อยู่เมืองนอกมาก โดยเฉพาะพวกที่มาอยู่เมกา ซื้อของแบรนเนม ดูไฮโซ หลายคนหน้าจอก็ดูชีวิตดี๊ดี หลังจอก็พบกันได้ตามร้านอาหารและในครัว
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราใช้ชีวิตรอดก็คือจุดหมาย (Goal) ซึ่งเรามีไม่เหมือนกัน จุดหมายจะเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นว่า “จะเก็บเงินให้ได้เยอะๆ” ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิด
สอง เอาต้นทุนชีวิตที่มี มาคำนวณว่าคุ้มไหมที่จะแลก เราตอบแทนใครไม่ได้นะ ว่าควรอยู่ต่อหรือโดด ควรมาหรือไม่มา ชีวิตคือการแลกเปลี่ยน ถ้าแลกแล้วมันคุ้มก็แลกซะ ทุกการตัดสินใจมีสิ่งที่ได้และเสียอยู่เสมอ
เพราะสุดท้ายชีวิตเป็นของตัวเราเอง เลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด อยากทำที่สุดเถอะ ไม่ต้องไปตัดสินแทนคนอื่น ไม่มีใครเข้าใจชีวิตเรานอกจากตัวเราเองหรอก
ปล. ถ้าเลือกมาแล้วก็อดทนมากนะคะ
ปล 2 ถ้าเลือกมาเป็นโรบินฮู้ด ก็ตั้งใจเก็บเงินนะคะ อนาคตโคตรไม่แน่นอน พวกเหล้า ไพ่ หวย ฯลฯ เพลาๆ มือลงหน่อยก็ดีนะ ^^ ถ้ามีเงินเก็บ กลับไทยตอนแก่ไปนอนเล่นสบายๆ แต่ถ้าไม่มีเงินเก็บก็ต้องทำงานที่นี่ไปจนตาย (อันนี้พูดจริง)
ปล. 3 ช่วยเหลือคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี แต่ให้ช่วยแบบไม่ต้องหวังผลตอบแทน ไม่ได้บอกให้เป็นคนดีอะไรหรอกนะ แต่ถ้าหวังว่าจะได้คืน ส่วนมากไม่ค่อยได้ (ได้อย่างเดียวคือความเจ็บใจ) และก็อย่าไว้ใจคนเยอะ โดยเฉพาะเรื่องเงิน
ปล. 4 ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ อย่างหวังพึ่งคนอื่นเยอะเพราะคนอื่นก็ใช่ว่าจะเอาชีวิตรอดกันเท่าไหร่….
สุดท้าย Welcome to America ดินแดนแห่งเสรีภาพ (ที่คนต่างชาติชอบล้อกันว่า) ไม่มีเสรีภาพอยู่จริง 55