วันที่ 9 มิ.ย. เซาท์ ไชนา มอร์นิง โพสต์รายงานว่า หน่วยนาวิกโยธินมาเลเซียสังกัดกองปฏิบัติการเฉพาะกิจแห่งชาติเข้าจับกุมชาวมุสลิมโรฮิงยา 269 คน บนเรือที่เข้ามาในน่านน้ำนอกเกาะลังกาวี ช่องแคบมะละกา
กองปฏิบัติการเฉพาะกิจมาเลเซีย ระบุว่า มีชาวโรฮิงยาจำนวน 53 คน ที่กระโดดลงจากเรือและพยายามว่ายน้ำเข้าไปที่เกาะลังกาวีแต่ถูกจับกุมก่อน ส่วนอีก 216 คน พบอยู่บนเรือ โดยในเรือนั้นเจ้าหน้าที่พบศพหญิงชาวโรฮิงยา 1 ราย
ทางการมาเลเซีย ระบุว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรฐานด้วยการส่งกลับออกไปนอกน่านน้ำแต่พบว่าเครื่องยนต์ถูกทำลายด้วยฝีมือมนุษย์จนไม่สามารถซ่อมแซมได้ จึงจำเป็นต้องช่วยเหลือนำตัวมายังค่ายพักพิงชั่วคราว
รายงานระบุว่า มาเลเซียเป็นชาติที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม และเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของขบวนการค้ามนุษย์ที่ฉกฉวยโอกาสความเดือดร้อนของชาวโรฮิงยาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อว่าการหนีไปยังชาติเหล่านี้จะทำให้ชาวโรฮิงยามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเก่าได้
โดยประเทศต้นทางที่ชาวโรฮิงยาจากมานั้นส่วนใหญ่เป็นรัฐยะไข่ ประเทศพม่า หลังกองทัพพม่าเปิดปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย มีชาวโรฮิงยาหนีตายไปยังบังกลาเทศเกือบ 1 ล้านคน
ซึ่งทางการพม่าถูกประชาคมโลกโจมตีว่าเข้าข่ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงยา ทำให้เผชิญกับคดีความที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือไอซีเจ นครเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์อยู่ในขณะนี้
ข้อมูลจากหน่วยงานมาเลเซีย พบว่า ตั้งแต่เดือนพ.ค. มีชาวโรฮิงยาหนีเข้ามาและถูกจับกุมแล้ว 396 คน เรือ 108 ลำ รวมถึงสมาชิกขบวนการค้ามนุษย์ 11 คนด้วย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังส่งเรือกลับไปแล้ว 22 ลำ มีชาวโรฮิงยาอย่างน้อย 140 คน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นมีกรณีที่ทางการมาเลเซียบังคับให้เรือผู้อพยพชาวโรฮิงยากว่า 20 คน หันหลังกลับออกไปจากน่านน้ำเมื่อเดือนเม.ย. เนื่องจากเป็นช่วงที่การระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาปี 2019 หรือโควิด-19 กำลังรุนแรง และหวาดเกรงว่าผู้อพยพอาจนำเชื้อเข้ามาเพิ่มอีก
ด้านสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ในมาเลเซีย ล่าสุด เข้าสู่ช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจแล้ว โดยรัฐบาลประกาศยุติมาตรการล็อกดาวน์ทั้งหมดหลังใช้มานานเกือบ 3 เดือน มียอดผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว 8,329 คน เสียชีวิต 117 ราย แต่ไม่พบการติดเชื้อในชุมชนเพิ่มแล้ว