“มันดูราวกับวันสิ้นโลกเลยตอนนี้…มันเหมือนเวลากลางคืนในตอนกลางวัน” เจฟฟ์ ชาวแคลิฟอร์เนียคนหนึ่งกล่าวถึงท้องฟ้าสีส้มที่เขาตื่นขึ้นมาพบในตอนเช้า
ขณะที่ เคต ชาวเมืองซานฟรานซิสโก ก็แสดงความประหลาดใจกับสิ่งที่ได้พบเห็น
ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่ในรัฐแคลิฟอร์เนียไปแล้วกว่า 8,000 ตารางกิโลเมตร และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 10 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องต่อสู้กับไฟป่าครั้งนี้ท่ามกลางคลื่นความร้อนครั้งรุนแรงเป็นประวัติการณ์และกระแสลมแรง โดยการพยากรณ์อากาศคาดว่าสภาพอากาศเช่นนี้จะดำเนินต่อไปอีกหลายวัน
ส่วนสถานการณ์ไฟป่าในรัฐออริกอน ซึ่งอยู่ข้างเคียงนั้น ก็รุนแรงไม่แพ้กัน ส่งผลให้ทางการต้องสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยกว่า 500,000 คน หรือคิดเป็นกว่า 10% ของประชากรทั้งรัฐซึ่งมีอยู่ราว 4.2 ล้านคน
ขณะนี้ได้เกิดไฟป่ากว่า 100 จุดในพื้นที่ 12 รัฐทางภาคตะวันตกของสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหาไฟป่าที่รุนแรงนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดสภาพอากาศรุนแรงผิดปกติและเอื้อให้เกิดสภาวะเหมาะสมที่ทำให้ไฟป่าลุกลามเป็นวงกว้าง โดยเมื่อกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่าอุณหภูมิที่อุทยานแห่งชาติหุบเขามรณะ (Death Valley National Park) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย พุ่งสูงแตะ 54.4 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจเป็นอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดในโลก
[/responsivevoice]
ที่มา : BBC NEWS THAI