[responsivevoice voice=”Thai Female” buttontext=”ฟังข่าว 4 นาที”]

นับถอยหลังการโต้วาทีประชันนโยบายครั้งแรกระหว่าง “ทรัมป์” กับ “ไบเดน” ในศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯระหว่างผู้สมัครสองคนสองสไตล์ จับตาใครมีโอกาสเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้น 3 พฤษจิกายน นี้ จัดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปกติ เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งยืนยันว่าการ “ดีเบต” หรืออภิปรายประชันนโยบาย ระหว่างผู้สมัครทั้ง 2 พรรค จะจัดขึ้นตามแบบแผนประเพณีเดิม คือมีด้วยกัน 3 เวที และจะจัดอีก 1 ครั้งสำหรับดีเบตคู่ชิงรองประธานาธิบดี

สำหรับการดีเบตคู่ชิงประธานาธิบดีระหว่างประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน และอดีตรองประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต นัดแรกจะจัดขึ้นในวันอังคาร 29 กันยายน เวลา 21.00 น. ตามเวลาในสหรัฐฯ หรือตรงกับเช้าวันพุธ เวลา 08.00 น. ตามเวลาไทย สถานที่จัดงานคือมหาวิทยาลัย “เคส เวสเทิร์น รีเซิร์ฟ” และ “คลีฟแลนด์ คลินิก” ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่านสถานีโทรทัศน์ CNN ใช้เวลา 90 นาที และผู้ดำเนินรายการ คือ คริส วอลเลส จากฟอกซ์ นิวส์

การอภิปรายจะจัดขึ้นในรูปแบบการแสดงวิสัยทัศน์ผ่านการตอบคำถามจากผู้ดำเนินรายการ ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของผู้ท้าชิงสองฝ่าย ศาลสูงสุด โรคโควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจ เชื้อชาติและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองต่างๆ รวมถึงความสุจริตซื่อตรงของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ สำหรับคำถามแต่ละข้อ ใช้เวลารวมไม่เกิน 15 นาที ผู้สมัครแต่ละคนจะมีเวลาตอบคนละ 2 นาที และมีโอกาสที่จะใช้สิทธิชี้แจงหรือกล่าวเพิ่มเติมจากฝ่ายตรงข้ามได้

ในส่วนของผู้ท้าชิงอย่าง “โจ ไบเดน” มีประสบการณ์อภิปรายกับคู่แข่งแบบตัวต่อตัวมาแล้วหลายครั้ง หากในครั้งนี้เขาทำออกมาได้ดีก็จะมีคะแนนนำนำทรัมป์ขึ้นไปอีก ก่อนหน้านี้คนใกล้ชิดออกมาเปิดเผยว่า นายไบเดนมีการซ้อมอย่างหนัก ทั้งในส่วนของการพูดเรียบเรียงเนื้อหาและอ่านข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการอภิปราย โดยเชื่อว่าไบเดนจะมีข้อได้เปรียบเหนือทรัมป์ในประเด็นเศรษฐกิจ และการจัดการโควิด-19 เนื่องจากตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตของสหรัฐฯยังพุ่งขึ้นไม่หยุด

ขณะที่ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่า เขาไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเพราะการอภิปรายเทียบไม่ได้เลยกับการทำงานบริหารประเทศที่เขาทำอยู่ทุกวัน ก่อนหน้านี้ทรัมป์ยังบอกว่า เขาไม่รับปากว่า การถ่ายโอนอำนาจดำเนินไปอย่างราบรื่น หากเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากนี้ ล่าสุดยังมีการเปิดเผยข้อมูลจากสื่อใหญ่ว่า ทรัมป์แทบไม่ได้เสียภาษีเลยในช่วง 10 ปี จาก 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่ถูกไบเดนหยิบยกขึ้นมาโจมตีได้

เป็นที่คาดหมายว่า ในการพบกันครั้งแรกผู้อภิปรายทั้งสองคนจะไม่มีการจับมือทักทายกันก่อนการเริ่มรายการตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อย่างใด เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วว่า ทรัมป์จะใช้โพเดียมที่ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของเวที ส่วนไบเดนจะใช้โพเดียมทางฝั่งซ้าย ในขณะที่ผู้เข้าชมการอภิปรายซึ่งเดิมทีเคยมีถึง 900-1,200 คน ในปีนี้จะถูกจำกัดเหลือเพียง 60-70 คน และทุกคนจะต้องมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ

สำหรับสถิติในการอภิปรายครั้งที่ผ่านมา “นีลเซน” เปิดเผยข้อมูลเรตติ้งทีวีในการอภิปรายนัดแรกระหว่างทรัมป์ กับนางฮิลลารี คลินตัน เมื่อปี 2559 มีผู้ชมมากถึง 84 ล้านคน สูงสุดทำลายสถิติการอภิปรายระหว่างโรนัลด์ เรแกน กับจิมมี่ คาร์เตอร์ เมื่อปี 2523 ที่คราวนั้นมีคนดูถึง 80 ล้านคน

ขณะที่ การอภิปรายครั้งต่อไปจะเป็นของคู่ชิงรองประธานาธิบดีระหว่างนายไมค์ เพนซ์ จากพรรครีพับลิกัน และนางคามาลา แฮร์ริส วุฒิสภาพรรคเดโมแครตจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 7 ตุลาคม ตามด้วยการอภิปรายของคู่ชิงประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ในวันที่ 15 ตุลาคม และครั้งสุดท้ายในวันที่ 22 ตุลาคม ส่วนผลสำรวจของสำนักโพลต่างๆ ล่าสุด ส่วนใหญ่ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ไบเดนกำลังมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ที่ 50% ต่อ 43%.

 

[/responsivevoice]

ที่มา : ไทยรัฐ

912 Views