เปิดเส้นทางชีวิต หญิงไทยตัวเล็กวัย 36 ปี จากลูกชาวนาแต่ใจหาญกล้า มุมานะจนได้เป็นทหารอเมริกัน ฝ่ายจัดหา สั่งซื้อ ดูแลอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ในหน่วยต่อสู้ทางอากาศยานกองทัพสหรัฐฯ
เพราะเธอได้เป็น “ทหารสหรัฐฯ” ในวัย 35 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุสูงสุดในการรับสมัครสอบทหาร และมีความสูงเพียงแค่ 149 เซนติเมตร
กว่าจะมาเป็นทหารบกหญิงไทยในสหรัฐฯ ประจำเมือง Fort Hood รัฐ Texas มีหน้าที่สั่งซื้อ ตรวจสอบ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ใช้ในหน่วยงาน (Unit Supply Specialist) มาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 1 ปี 8 เดือนได้นั้น
เธอสร้างโอกาสให้ตัวเองอย่างไร
เธอต้องต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคอะไรบ้าง
ทำไมจึงสมัครสอบเป็นทหารในวัย 35 ปี
รายได้และสวัสดิการดีอย่างไร
คุณเอ ซึ่งขณะนี้ประจำการอยู่ที่ประเทศบาห์เรน (Bahrain) เป็นการชั่วคราว เปิดใจข้ามทวีปกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเธออย่างหมดเปลือกเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่อยากเป็นทหารอเมริกัน
: ลูกชาวนาจากเพชรบูรณ์ พลังผลักดันบินเดี่ยวสู่อเมริกา :
“ต้องขอบคุณที่เกิดเป็นลูกชาวนา ช่วยพ่อแม่ เกี่ยวข้าว ถอนกล้า หาบกล้า รับจ้างเก็บถั่วช่วงปิดเทอม ความลำบากที่เคยผ่านมา สอนและทำให้เป็นคนไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ มีความกล้า บ้าบิ่น ผ่านปัญหาต่างๆ ได้เพราะความอดทน”
คุณเอเล่าเรื่องราวชีวิตตัวเองในวัยเด็กที่เป็นแรงผลักดันทำให้กล้าตัดสินใจบินเดี่ยวมาอยู่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558 ในวัย 30 ปี ทั้งที่ไม่เก่งเรื่องภาษาอังกฤษ เพราะอยากให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังทำงานในกรุงเทพฯ เงินไม่พอใช้และส่งให้พ่อแม่
5-6 เดือนแรกที่มาใช้ชีวิตในอเมริกา คุณเอบอกเป็นช่วงชีวิตที่ลำบากสุดๆ เพราะไม่เก่งภาษาอังกฤษ พออ่านออก เขียนได้และฟังรู้เรื่องเท่านั้น เมื่อเจอแต่คำศัพท์ที่ไม่เคยได้ใช้ในชีวิตประจำวันมาก่อน ทำให้สื่อสารคนอื่นไม่ได้ แต่ด้วยนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และมีความขยัน อดทน ใฝ่รู้ เธอแก้ปัญหาโดยเรียนรู้ด้วยตัวเอง ครูพักลักจำ ทำให้พัฒนาภาษาอังกฤษดีขึ้นๆ จนก้าวพ้นปัญหาเรื่องภาษาไปได้
: 2 ร้านอาหารไทย ช่วยชุบชีวิต :
หลังปรับตัวเรื่องภาษาอังกฤษได้ เพื่อความอยู่รอดในอเมริกา สเตปต่อไปคือหางานทำ คุณเอบอก นับเป็นความโชคดีที่เจ้าของร้านอาหารไทย Pinkao Thai restaurant ในลาสเวกัสรับเข้าทำงานทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ คุณเอทำหน้าที่รับลูกค้า จัดโต๊ะให้ลูกค้านั่ง และช่วยเก็บจาน ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 ทำ 4 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ในวันหยุดศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ยังไปเป็น “แม่ครัว” อีกร้านชื่อ Thai cuisine ของเจ๊เล๊ก เพื่อหารายได้เสริม เพราะอยากเก็บเงินส่งทางบ้านเยอะๆ
2 ปีต่อมา คุณเอย้ายไปทำงานเลี้ยงเด็ก 4 เดือน – 16 เดือน ที่ Cradles to Crayons Playschool แต่ด้วยไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบการเดินทาง ชอบผจญภัย บวกกับอยากมีความมั่นคงและสวัสดิการที่ดี เคยได้ยินเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันบอก ถ้าสมัครเป็นทหารได้ นอกจากมั่นคงและสวัสดิการดี ทั้งกิน อยู่ เรียน เจ็บป่วยรักษาฟรี ยังช่วยให้สอบสัญชาติอเมริกัน (citizen) ได้ง่ายโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเป็นเงิน 725 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทย 22,475 บาท
: ขั้นตอนการสมัคร ทหารหญิงอเมริกัน :
เมื่อพบแสงสว่างแห่งความหวัง ทำให้คุณเอ ขณะนั้นวัย 34 ปี จึงฝ่าฟันด้วยความมุ่งมั่น เพราะเกณฑ์อายุรับสมัครไม่เกิน 35 ปีเท่านั้น โดยเร่ิมจากศึกษาข้อมูลวิธีสมัครสอบทหารพบ ก้าวแรกการสมัครทหารจะมีออฟฟิศ (Recruiter Office) ให้คำปรึกษาของแต่ละฝ่าย ได้แก่ กองทัพบก (Army), กองทัพอากาศ (Air Force), กองทัพเรือ (Navy), นาวิกโยธิน (Marines Corp), หน่วยยามฝั่ง รักษาความปลอดภัยทางทะเล (Coast Guard)
คุณเอไป Recruiter Office กองทัพบกใกล้บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าการจะเป็นทหารอเมริกัน ด่านแรกต้องสอบ ASVAB (Armed Services Vocational Aptitude Battery) เป็นการสอบความถนัดเกี่ยวกับวิชาการด้านต่างๆ ทั้งหมด 9 วิชา รวมข้อสอบทั้งหมด 225 คำถาม ซึ่ง 1 ข้อมี 4 ชอยส์ให้เลือก ดังนี้
1. General Science (GS) 25 ข้อสอบ เกี่ยวกับโลก อวกาศ ชีวภาพร่างกายมนุษย์
2. Arithmetic Reasoning (AR) 30 ข้อสอบ เป็นโจทย์คำถามพร้อมตัวเลขเพื่อตีโจทย์ให้แตกด้วยสูตรคำนวณ
3. Word Knowledge (WK) 35 ข้อ โดยให้คำศัพท์ 1 คำศัพท์ แล้วหาคำศัพท์ที่มีความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน หรือไปในทิศทางเดียวกัน
4. Paragraph Comprehension (PC) 15 ข้อ มีบทความ 1 เรื่อง ให้อ่านแล้วตีความว่าสื่ออะไร และถามคำศัพท์ในบทความว่าคำนี้มีความหมายว่าอย่างไร
5. Mathematics Knowledge (MK) 25 ข้อ เป็นข้อสอบเลขสมการทั่วๆ ไป
6. Electronics Information (EI) 20 ข้อ เกี่ยวกับไฟฟ้า คำนวณค่าต่างๆ ในแผงวงจร และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับไฟฟ้า
7. Auto and Shop Information 25 ข้อ เป็นความรู้ด้านกลไกต่างๆ ของเครื่องยนต์ เครื่องมือช่าง
8. Mechanical Comprehension (MC) 25 ข้อ เกี่ยวกับการคำนวณหลักกลศาสตร์
9. Assembling Objects (AO) 25 ข้อ เกี่ยวกับการคล้องจองภาพ โดยจับภาพยึกๆ ยือๆ ให้แมตช์กัน
ในวันนั้นคุณเอสอบ 4 วิชาหลัก คือ Arithmetic Reasoning, Word Knowledge, Paragraph Comprehension และ Mathematics Knowledge (MK) เพื่อนำคะแนนมาคำนวณว่ามีพื้นฐานความรู้หรือไม่ และด้วยอายุ 34 ความจำเกี่ยวกับข้อสอบทั้งหมดไม่มีเหลือ ทำให้คุณเอสอบได้คะแนนน้อยมาก แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้กำลังใจและให้เว็บไซต์เพื่อไปศึกษาหาความรู้และกลับมาสอบอีกครั้ง
: อายุ 35 ได้เป็นทหารหญิงอเมริกัน :
ด้วยเป็นคนไม่ยอมแพ้ และตั้งใจ “เป็นทหารให้ได้” หลังเลิกงานในศูนย์ดูแลเด็ก คุณเอมุ่งมั่นตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้าทหารโดยตรง มีแบบฝึกหัดให้ทำในห้องสมุด และทุกวันอังคาร และพฤหัสฯ ตั้งแต่เวลา 18.30 – 21.00 น. เรียนฟรีกับอาสาสมัครที่มาสอนในโบสถ์ อีกทั้งยังเรียนและทำข้อสอบผ่าน AVABS application ด้วย
และแล้วเวลา 2 เดือน ที่คุณเอทุ่มเท ไม่สูญเปล่าจริงๆ ช่วงกลางเดือน พฤศจิกายน มีแจ้งผลมาว่า เธอสอบผ่านสมความตั้งใจ จากนั้นประมาณ 1 เดือน ก็ถูกเรียกไปสาบานตนและตรวจสุขภาพซึ่งแข็งแรงดี พร้อมไป Basic training การเรียนรู้ฝึกวินัยการเป็นทหารเบื้องต้น หรือเรียกอีกอย่างว่า Boots camp ให้เร็วที่สุด เพราะอีกไม่กี่เดือนเธออายุจะครบ 35 ปี
“ดีใจและตื่นเต้นมาก เพราะกฎระเบียบรับคนอายุ 34 ไม่เกิน 35 เออายุมากและมีวุฒิปริญญาตรีจึงไม่ได้เลือกเองว่าอยากทำงานอะไร เขาเลือกงานในตำแหน่งที่ว่างอยู่ให้เป็นทหารชั้นประทวน (enlistment) ระดับ Rank E-4 รับคำสั่งจากเจ้าหน้าที่หรือนายทหาร ทำหน้าที่ สั่งซื้อ ตรวจสอบ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ (Supply specialist)” คุณเอย้อนเล่าความรู้สึกในวันนั้น
: เปิดชีวิตทหารหญิงอเมริกัน ฟรีทุกอย่าง แม้แต่ชุดชั้นใน :
เรียกได้ว่าเส้นทางการเป็นทหารของคุณเอ เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว ก้าวต่อไปคือต้อง Basic training ซึ่งมีเวลาให้ 2 เดือนกว่าเพื่อปรับร่างกายให้พร้อม โดยคุณเอวิ่งทุกเช้าวันละ 30 นาที โหนบาร์ Push-up, Sit-up ทุกวัน
เมื่อถึงวันเดินทาง 4 กุมภาพันธ์ 2562 ไป Fort Jackson เพื่อเรียน Basic training คุณเอไม่เพียงตื่นเต้น แต่ยังรู้สึกกังวลว่าจะทำได้ไหม เพราะเป็นคนค่อนข้างช้า เอ้อระเหยลอยชาย กินข้าวช้า ตื่นสาย แต่เธอก็ปลุกพลังและให้กำลังใจตัวเองว่า “สอบผ่านมาถึงขนาดนี้แล้ว ลุยอย่างเดียว สู้ไม่ถอย”
หลังก้าวขาจากรถบัสเมื่อถึง Fort Jackson ชีวิตของคุณเอก็เข้าสู่กฎระเบียบทันที ถูกตรวจกระเป๋าโดยเททุกอย่างมากอง อันไหนที่ไม่อนุญาตนำเข้าต้องทิ้ง เช่น ของกิน บุหรี่ อาวุธ ของมีคมต่างๆ ที่สามารถทำร้ายกันได้ ฯลฯ
จากนั้นรับชุดเครื่องแบบ (uniform) ชุดออกกำลังกาย, ชุด OCP ที่ใส่ฝึกทุกวัน อย่างละ 4 ชุด รองเท้าบูต 3 คู่ มีให้ทุกอย่างฟรีแม้แต่ชุดชั้นใน sport bra สีดำ กางเกงในตัวใหญ่ๆ สีขาว และข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนผู้ชายหลังรับ uniform ต้องไปตัดผมเกรียน โกนหนวดเครา จากนั้นทุกคนทั้งชายและหญิงต้องฉีดวัคซีน รวมเกือบ 10 เข็ม แล้วแบกกระเป๋าเป้ที่ใส่ทุกอย่างที่ได้รับซึ่งหนักเกือบ 15-20 กิโลฯ ขึ้นรถบัสไปยังหน่วยฝึก
: สารพัดการฝึกสุดโหด เพื่อ ท.ทหาร อดทน :
เมื่อถึงหน่วยฝึก ครูฝึกให้ยกกระเป๋าเหนือหัว ขึ้นลงๆ 10 กว่ารอบ เพื่อดูว่าใครใจสู้ แล้วเทของทั้งหมดเพื่อตรวจสอบ ของได้ครบไหม ส่วนโรงนอนผู้หญิง นอนรวมกัน 60 คนในห้องโถงใหญ่ จากหลายเชื้อชาติ อาทิ จีน เนปาล เปอร์โตริโก
จากนั้นเริ่มฝึกทหารใหม่ PT (Physical Training) โดยเวลา 05.00 น. ตื่นนอน, 05.30 น. รวมกอง เข้าแถว วิ่งออกกำลังกาย 1-1.5 ชั่วโมงครึ่ง และออกกำลังกายพื้นฐานแต่ละท่า ต้องทำพร้อมเพรียงกัน จากนั้นให้เวลาประมาณ 15-20 นาที อาบน้ำ เตรียมตัวไปโรงอาหาร หลังกินข้าว ในแต่ละวันจะมีโปรแกรมฝึกไม่ซ้ำกัน ส่วนมากเป็นเรื่อง Team works มีการฝึกยิงปืน M4 ปาระเบิด ช่วงที่แรกฝึกทุกคนจะผ่ายผอม สักพักน้ำหนักจะขึ้น เพราะร่างกายเริ่มมีกล้ามเนื้อ และฟิตแข็งแรง
นอกจากนี้ยังมีการเดินทางไกลกว่าสิบกิโลฯ พร้อมแบกเป้ใบโตหนักเกือบ 30 กิโลกรัม ออกเดินป่าตอนเที่ยงคืนเพื่อไปนอนค้างทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกนอน 1 คืน, ครั้งที่สอง 2 คืน, ครั้งสุดท้าย 3 คืน ต้องไปขุดหลุมนอน ไม่มีมุ้ง ไม่มีเต็นท์ และไม่ได้อาบน้ำ
ส่วนปัญหาระหว่างฝึกในเรื่องภาษาอังกฤษ ครูฝึกพูดเร็วฟังไม่ทัน หรือไม่เข้าใจในบางครั้ง นอกจากต้องตั้งใจฟังแล้ว ถ้าไม่เข้าใจก็ถามเพื่อนข้างๆ แล้วทำตาม เพราะส่วนมากเวลาทำอะไรก็ทำเหมือนกันหมด และจะซึมซับเอง
สำหรับการสื่อสารกับโลกภายนอกมีเพียง 2 ครั้ง โดยครั้งแรก 10 นาที คือวันแรกที่เข้ามายังศูนย์ฝึก อนุญาตให้โทรหาครอบครัวแจ้งที่อยู่ สำหรับส่งจดหมาย หลังจากนั้นโทรศัพท์ถูกยึด และได้ใช้โทรศัพท์อีกครั้งก่อนวันจบการศึกษา (graduation day) เพื่อบอกครอบครัวรู้สถานที่ที่มาร่วมงาน
(วันจบการฝึกทหาร)
ด้วยส่วนนิสัยเป็นคนชอบผจญภัย ชอบความท้าทาย เป็นคนง่ายๆ ไม่ห่วงสวยอยู่แล้ว แม้จะฝึกหนักทั้งหมดรวม 10 สัปดาห์ เคยขาเจ็บเพราะวิ่งเยอะก็ไม่เคยท้อ เพราะอยากเป็นทหาร คุณเอบอกเป็นประสบการณ์ความทรงจำที่ดีตลอดชีวิต ไม่เคยลืม
“วันสุดท้ายในการฝึกจบหลักสูตร ต้องเดินทางไกลทั้งวันโดยไม่ได้นอน 24 ชม. ได้ติดยศที่ไหล่ซ้าย คือวันนั้นจำได้ว่าทุกคนน้ำตาไหลอาบแก้ม มันเป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ”
ปัจจุบันคุณเอ เป็นทหารบกหญิงไทยคนแรกในสหรัฐฯ มา 1 ปี 8 เดือน ที่ทำหน้าที่หลักคือสั่งซื้อ ตรวจสอบ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ใช้ในหน่วยงาน (Unit Supply Specialist) ที่ใช้ในหน่วยงานว่าของจริงที่มีอยู่กับข้อมูลในระบบตรงกันหรือไม่ ตรวจเลขที่ NSN, Serials Number ต่างๆ และสั่งซื้อ ไปรับของที่สั่งมาให้หน่วย ส่วนงานอื่นๆ ที่เป็นภารกิจ (mission) จาก ผู้บัญชาการทหาร (commander) ก็ทำโดยไม่มีเกี่ยง
การเป็นทหารของอเมริกัน เงินเดือนที่ได้รับเยอะกว่าไทย 3 เท่าตัว ไม่มีค่าใช้จ่ายเยอะเพราะสวัสดิการต่างๆ ครอบคลุมฟรี อาทิ เมื่อถึงเวลาต้องทำฟัน ต้องตรวจตา ตรวจมดลูก ตรวจหู ตรวจการได้ยินก็จะมีอีเมลมาแจ้ง หากโสดมีที่พักฟรี กรณีไม่สบายก็มีโปรแกรมประกันสุขภาพที่ออกจากทางรัฐบาลกลาง (Medicare) ได้ตลอด ส่วนการได้ citizen เป็นพลเมืองของอเมริกา เพิ่งได้เมื่อ 3 ก.ย. 63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 (COVID-19)
สำหรับผู้สนใจอยากเป็นทหารอเมริกัน คุณเอแนะนำ ต้องถามใจตัวเอง รักและชอบการเป็นทหารจริงๆ หรือเปล่า ให้ศึกษาดูข้อมูลการฝึกทหารอเมริกันในโลกออนไลน์ให้ดี ถ้าดูแล้วชอบ ชอบความท้าทาย ชอบอยู่ในกฎระเบียบ และคิดว่าทำได้ ให้เดินหน้าลุยเลย
การจะเป็นทหารของสหรัฐฯ “ใจ” สำคัญมาก ต้องแกร่ง มีความอดทน มีความมุ่งมั่น หากเปลี่ยนใจคิดเลิกหยุดกลางคันไม่ใช่เรื่องง่าย ครูฝึกจะช่วยและทำทุกวิถีทางให้ผ่านการฝึก แต่หากหมดความอดทนและถอดใจจริงๆ กว่าครูฝึกจะยอมปล่อยกลับบ้านจะลงโทษให้ทำความสะอาดและช่วยบริการเพื่อนเวลาฝึกภาคสนามก่อนจะปล่อยตัวกลับ
“สุดท้าย ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่กระบวนการทางความคิด (mindset) หากเราตัดสินใจจะทำอะไร และตั้งใจจริง ให้บอกกับตัวเองเสมอ ว่าเราทำได้แล้วเราจะทำได้ การคิดบวก (positive thinking) ช่วยในการมาเป็นทหารได้เยอะ เพราะตั้งแต่วันแรกเข้ามาฝึกจะได้เงินเดือนเลย เวลาเหนื่อย หรือท้อก็คิดซะว่า ดีจัง เขาจ่ายเงินเราให้มาเรียนรู้ ได้ประสบการณ์และฝึกวินัย แถมได้ออกกำลังกายทุกวันทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง”
[/responsivevoice]
ที่มา : ไทยรัฐ