น.ส.ราวินา ชัมดาซานิ โฆษกสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่นครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ โดยแสดงความกังวลเรื่องที่ทางการไทยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ชี้จะส่งผลเสียต่อการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
“การประท้วงดำเนินไปอย่างสันติเป็นส่วนใหญ่ และโดยรวมแล้วทางการได้เคารพพื้นที่ในการแสดงออกซึ่งเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ แต่เรามีความกังวลเรื่องการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เมื่อเช้าวานนี้ที่กรุงเทพฯ ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการชุมนุมในวันก่อนหน้านั้น ซึ่งที่จริงเป็นการชุมนุมโดยสงบเป็นส่วนใหญ่”
“การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งได้รับการรับรองในพันธสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งไทยเป็นภาคี”
โฆษกสำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ยังแสดงความกังวลเรื่องการควบคุมตัวและจับกุมนักกิจกรรม รวมทั้งผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหลายคน ซึ่งรวมถึงผู้เข้าร่วมในการประท้วง
“เรายังมีความเป็นห่วงอย่างยิ่ง เรื่องการตั้งข้อหาร้ายแรงหลายข้อหา ซึ่งรวมถึง ข้อหาปลุกระดมมวลชนต่อบุคคลที่ใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของตนเองอย่างสันติ”
“เราขอเรียกร้องรัฐบาลให้การรับรองว่าจะไม่มีผู้ใดตกเป็นเป้าหมาย ถูกคุมขัง หรือถูกตั้งข้อหาร้ายแรง ต่อการที่พวกเขาใช้สิทธิขั้นพื้นฐานในการชุมนุมและแสดงออกโดยสันติ”
สำนักงานเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติยังเรียกร้องให้ทางการไทยรับรองว่าจะมีการจัดหามาตรการคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเป็นระบบสำหรับผู้ที่ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวทุกคน ซึ่งรวมถึงการติดต่อกับทนายความและครอบครัวได้ตลอดเวลา
นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียของฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า “การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจที่ไม่ต้องถูกตรวจสอบแก่รัฐบาลไทยในการกดขี่เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และช่วยให้ไม่สามารถเอาผิดใด ๆ ต่อเจ้าหน้าที่ได้”
“ทางการไทยจะต้องไม่ปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงอย่างสันติด้วยกฎหมายอันรุนแรงที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของพลเมืองอื่น ๆ”
นายอดัมส์ ชี้ว่า “รัฐบาลไทยได้สร้างวิกฤตด้านสิทธิมนุษยชนของตัวเองขึ้นมา…การทำให้การประท้วงโดยสันติและการเรียกร้องการปฏิรูปทางการเมืองเป็นเรื่องผิดกฎหมายถือเป็นเครื่องหมายของการปกครองแบบเผด็จการ”
ที่มา : bbc thai