ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนล่าสุด เคยกล่าวเมื่อครั้งได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตให้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีว่า เขาต้องการดำเนินนโยบายเสริมสร้างประเทศและประสานรอยร้าวความแตกแยกในสังคม
นายโจ ไบเดน จะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในขณะที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญความท้าทายหลายอย่าง ตั้งแต่ภาวะโรคระบาดไปจนถึงความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ

แนวนโยบายหลักของเขาเน้นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนทำงานโดยสนับสนุนให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 465 บาท) ต่อชั่วโมง เขายังสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรกของการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของนายทรัมป์ที่พรากพ่อแม่ลูกที่ชายแดนระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากกลุ่มประเทศมุสลิม
นายไบเดนยังจะเดินหน้าขยายแผนประกันสุขภาพให้สำเร็จและจะทำให้ชาวอเมริกันทุกคนมีทางเลือกขึ้นทะเบียนในประกันสาธารณสุข มีการประเมินว่าแผนของนายไบเดนจะต้องใช้งบราว 2.25 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะ 10 ปี
อดีตวุฒิสมาชิกเจ็ดสมัย
ในสายตาผู้สนับสนุน นายไบเดนเป็นผู้มีประสบการณ์ในเกมการเมืองมาหลายทศวรรษ ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ แต่ในสายตาผู้วิพากษ์วิจารณ์ เขาคือผู้มีประวัติประพฤติไม่เหมาะสมกับผู้หญิงหลายต่อหลายครั้ง

เขามีประสบการณ์หาเสียงยาวนาน ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาถึงเจ็ดครั้ง และลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมาหลายครั้ง และได้เป็นรองประธานาธิบดีจริงในสมัยของนายบารัก โอบามา แม้ก่อนหน้านั้นจะเคยพูดถึงนายโอบามาว่าเป็น “ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในกระแสหลักคนแรกที่พูดจาฉะฉาน ฉลาด สะอาด และเป็นผู้ชายที่ดูดี”
ในช่วงที่ทั้งสองใกล้จะหมดวาระการดำรงตำแหน่ง นายไบเดน ยังได้รับเหรียญแห่งเสรีภาพของประธานาธิบดี ซึ่งเป็นเหรียญเกียรติยศชั้นสูงสุดสำหรับพลเรือนอเมริกัน จากประธานาธิบดีโอบามา

พิธีมอบเหรียญเกียรติยศในครั้งนี้มีขึ้นโดยที่นายไบเดนไม่ได้ล่วงรู้มาก่อน ทำให้เขาทั้งประหลาดใจและรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาไหล โดยประธานาธิบดีโอบามากล่าวยกย่องนายไบเดนว่า เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่สำหรับเขาแต่สำหรับประชาชนชาวอเมริกันทั้งหมดด้วย
นักหาเสียง
นายไบเดน ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์หาเสียงโชกโชน แต่มีบ่อยครั้งที่เขาพูดออกนอกบท ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่าบรรพบุรุษของเขาเป็นคนงานเหมือง และเขาก็รู้สึกโกรธที่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสในชีวิตอย่างที่สมควร แต่จริง ๆ แล้ว บรรพบุรุษของเขาไม่ได้เป็นคนงานเหมืองจริง และเขาไปขโมยคำปราศรัยนั้นมาจากนักการเมืองอังกฤษอีกที

ยังไงก็ตาม หลายคนบอกว่านายไบเดน ดู “จริง” มากกว่าเวลาพูดกับประชาชน เขาเองบอกว่าการเป็นคนติดอ่างตอนเด็ก ๆ ทำให้เขาไม่ชอบอ่านบทจากเครื่องบอกบท และเลือกที่จะพูดจากใจแทน
ในการโต้วาทีครั้งแรกของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 เมื่อคืนวันอังคารที่ 29 ก.ย. นายไบเดนถูกนายทรัมป์ขัดจังหวะเป็นส่วนใหญ่ และนั่นก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกันไปมาจนวุ่นวาย รวมทั้งการที่นายทรัมป์ตั้งคำถามเรื่องเชาว์ปัญญาของนายไบเดน ส่วนนายไบเดนเองก็เรียกนายทรัมป์ว่าเป็นตัวตลก บอกให้เงียบเสีย และตั้งคำถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “นายจะหุบปากได้ไหม” คลิปวิดีโอนี้ได้รับการเผยแพร่ไปหลายพื้นที่ทั่วโลก
โศกนาฏกรรมครอบครัว
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเข้าถึงและเห็นใจนายไบเดนก็คือโศกนาฏกรรมที่เกิดกับครอบครัวเขา ช่วงที่เขากำลังจะได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาสมัยแรก ภรรยาและลูกสาวของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกชายสองคนของเขาได้รับบาดเจ็บ นายไบเดน ตัดสินใจรับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและสาบานตนเข้ารับตำแหน่งข้างเตียงที่ลูกชายวัยสามขวบนอนป่วยอยู่ โดยเขานั่งรถไฟเทียวไปเทียวมาระหว่างโรงพยาบาลในรัฐเดลาแวร์กับกรุงวอชิงตันดีซี แทบทุกวันเป็นเวลาหลายปี จนรู้จักคนขับรถไฟคนเก็บตั๋วเกือบทุกคน

แต่สุดท้ายแล้วโบ ลูกชายคนนี้ก็เสียชีวิตไปด้วยอาการเนื้องอกในสมอง ตอนที่มีอายุ 46 ปี
ส่วนลูกชายอีกคน หรือ ฮันเตอร์ ตกเป็นข่าวกรณีอื้อฉาวมากมาย รวมทั้งการพัวพันกรณีทุจริตกับมหาเศรษฐีด้านพลังงานชาวจีน

ฮันเตอร์ทำงานได้เงินเดือนสูงในยูเครน ซึ่งเคยมีการกล่าวหาว่านายทรัมป์โทรไปหาประธานาธิบดียูเครน และขอให้เขาช่วยสอบสวนโจ ไบเดน รวมถึงตัวฮันเตอร์ว่าไปพัวพันในข้อหาทุจริตหรือไม่ โดนัลด์ ทรัมป์รอดจากการถูกถอดถอนหลังวุฒิสภาลงมติว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่มีความผิด
เรื่องอื้อฉาวกับสุภาพสตรี
นายไบเดน เองก็มีเรื่องฉาวเหมือนกัน เพราะมีผู้หญิงอย่างน้อย 8 คนออกมากล่าวหาว่าเขาสัมผัส กอด และจูบ พวกเธออย่างไม่เหมาะสม และรายการข่าวต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ก็เคยแสดงคลิปวิดีโอตอนเขาถึงเนื้อถึงตัวผู้หญิงเวลาออกงานสังคม ซึ่งรวมไปถึงการชอบดมผมผู้หญิงด้วย
ในช่วงทศวรรษ 70 เขาเข้าข้างผู้เคลื่อนไหวแบ่งแยกเชื้อชาติในรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ที่คัดค้านการให้เด็กนั่งรถบัสไปโรงเรียนในละแวกอื่น ๆ เพื่อให้เด็กผิวขาวและผิวดำไปโรงเรียนรัฐเดียวกัน
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ถูกหยิบนำกลับมาโจมตีเขาบ่อยครั้ง

ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จสูงสุดในเส้นทางการเมืองอันยาวนาน หากย้อนไปเมื่อปี 2016 ตอนที่เขาคิดว่าจะลงสมัครเป็นผู้ท้าชิงประธานาธิบดีหรือไม่ เขาเคยพูดว่า “ผมสามารถตายได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องเป็นประธานาธิบดี”
เขาอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกแล้ว
ที่มา : BBC Thai