สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว อาทิตย์ที่แล้วเล่าข่าวเกี่ยวกับสาวญี่ปุ่นที่เกือบจะโดนตำรวจตรวจคนเข้าเมืองห้ามเข้าที่ฮาวาย คนญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนที่เป็นอยู่ต่างประเทศจะสนใจข่าวนี้เป็นพิเศษเลยครับ จริงๆ แล้วเรื่องการถูกห้ามเข้าเมืองนั้นสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ไม่ว่าใครก็ตาม ที่สำคัญควรปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองของแต่ละประเทศ พูดง่ายๆ คือไม่พยายามทำผิดกฎหรือลักลอบเข้าเมือง ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่จริงๆ แล้วมีความสำคัญมากที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเด็ดขาดครับ
และแน่นอนว่าอย่างน้อยต้องพยายามไม่ทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธเข้าเมืองเพราะถ้าถูกปฏิเสธเข้าเมืองไปเสียแล้วจะมีผลต่อประวัติอยู่เหมือนกัน อาจทำให้การเข้าประเทศนั้นยากขึ้นในครั้งต่อไป และอาจจะโดนห้ามไม่ให้เข้าประเทศนั้นอีกหลายปี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าบังเอิญถูกปฏิเสธโดยเราไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ก็คงต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เสียแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือที่นักเขียนเป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างระหว่างไทยและญี่ปุ่นครับ ในหนังสือเปรียบเทียบวัฒนธรรมญี่ปุ่นกับไทย เช่น บอกว่าคนไทยปฏิบัติตามศีลห้าตามความเชื่อของพุทธศาสนา แต่ก็ค่อนข้างเฉยเมยต่อสิ่งอื่นๆ ที่นอกจากนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะมองว่าไม่เป็นไรเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น การอยู่เกินกําหนด เป็นต้น ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดว่าไม่เป็นไร
ผมเคยฟังเรื่องที่แชร์กันใน SNS แล้วรู้สึกน่าสงสารคนที่เดินทางอีกเรื่องหนึ่งคือ ช่วงที่โควิดระบาด มีคนญี่ปุ่นเดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อทําธุรกิจ แล้วถูกกักตัวเป็นเวลา 2 สัปดาห์เนื่องจากมาตรการตรวจควบคุมโรค COVID-19 และเขาไม่สามารถทำงานได้ ไม่สามารถให้ความร่วมมือเรื่องงานกับบริษัทได้อย่างที่ควร และก็เกิดปัญหาจริงๆ แม้ว่าบุคคลนั้นจะไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ถูกกักตัวตามกฎหมายของประเทศที่เข้าไป (ตอนนั้นตามมาตรการป้องกันโควิด) ดังนั้นบางครั้งจึงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากการเดินทางบ้าง
อนึ่งคนจะกลัวถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเชิญเข้าห้องเย็น ในประโยคญี่ปุ่นที่พูดว่า “เชิญไปคุยที่ห้องแยกต่างหาก (ห้องเย็น)” ( ゚д゚) แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนนักเดินทางครับ มีนักเขียนแนะนำว่าเมื่อถึงตรวจคนเข้าเมืองแล้ว เราจะหลีกเลี่ยงการถูกเชิญเข้าห้องเย็น “เชิญไปคุยที่ห้องแยกต่างหาก” ได้อย่างไร? (*´-`)
● แม้ต้องเดินทางเข้าประเทศที่คุณไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ก็ควรเตรียมปรินต์เอกสารหลักฐานการเดินทางต่างๆ ติดตัวไป เช่น หลักฐานการทำงานเป็นภาษาอังกฤษ หลักฐานการศึกษาหากคุณเป็นนักเรียน หรือนามบัตรหากไม่มีอะไรเลย เมื่อต้องโดนสอบถามให้พูดถึงตัวเองอย่างสุภาพ กระชับ และตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เพราะการพูดความจริงจะกี่ครั้งก็จะเหมือนเดิม นั่นคือสิ่งสําคัญ *อย่าโกหกเพื่อตัวเอง
● ในเคสต่างๆ ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีดุลพินิจในมุมมองที่กว้างและมีอำนาจที่เด็ดขาด (แม้ว่านักเดินทางจะมีวีซ่าอย่างเป็นทางการก็ตาม) ก็อาจถูกปฏิเสธได้ถ้าเป็นบุคคลที่มี “สิ่งที่น่าสงสัย” หรือ “ตรวจคนเข้าเมืองไม่ชอบทัศนคติของบุคคลนั้น”
● หากโชคร้ายถูกเชิญตัวไปที่ห้องเย็น ต้องดูความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป
● ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง การเดินทางคนเดียวมีแนวโน้มที่จะเป็นเป้าหมายมากกว่าการเดินทางกับครอบครัวและคู่รัก
● ว่ากันว่าหากทำงานประจำ มักจะไม่ถูกปฏิเสธการเข้าเมือง แต่ก็ไม่เสมอไป..
อย่างผมเองก็มีประสบการณ์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนเรียกเข้าห้องเย็น “เชิญไปคุยที่ห้องแยกต่างหาก” (´・ω・` ) แล้วแถมเป็นตรวจคนเข้าเมืองประเทศญี่ปุ่นอีก ครั้งหนึ่งที่ผมกลับไปญี่ปุ่นในประเทศบ้านเกิดของผมเอง… คือผมก็งงมาก แต่อาจมีอะไรที่สะดุดตาเขาก็ได้
ขนาดเมื่อก่อนตอนที่ผมเคยเป็นนักแบ็กแพกเกอร์ผมเคยทั้งแต่งตัวมอมแมม สะพายกระเป๋ารุงรังหรือย้อมผมสีแดง บางทีก็ตัวผอมดำแบบไม่ใช่นักธุรกิจแน่ๆ ผมยังไม่เคยโดนเรียกเข้าห้องเย็นสักที แต่ที่โดนเรียกที่ญี่ปุ่นครั้งนั้นผมเพิ่งได้ทำงานใหม่ๆ หมาดๆ สลัดคราบนักแบ็กแพกเกอร์มาใส่เสื้อเชิ้ตเรียบร้อย กางเกงสแล็ก ไม่รู้แต่งแล้วดูน่าสงสัยไปหน่อยหรือเปล่าเลยถูกเรียก ก็โดนเรียกคุยไปประมาณ 20 นาที จึงได้ออกมา ซึ่งภายหลังผมเล่าเรื่องนี้ให้หัวหน้างานฟังตอนที่ไปปาร์ตี้สังสรรค์กัน หัวหน้าผมถึงกับโกรธมาก บอกว่าคราวหน้านะถ้าเจอแบบนี้อีกให้เขาโทร.มาที่สำนักงานเลย!!
คือผมจะบอกว่าแม้ว่าตอนนั้นผมจะเป็นข้าราชการแต่งตัวเรียบร้อยก็ไม่ใช่ว่าจะไม่โดนเรียกตรวจ
แต่บางประเทศอาจจะเจาะจงตรวจพวกฮิปปี้ไม่ตรวจคนแต่งตัวแบบเรียบร้อยก็มี หมายความว่าแล้วแต่กฎของแต่ละประเทศ และดุลพินิจของเจ้าหน้าที่จริงๆ
● เป็นเรื่องสําคัญมากที่จะพูดและทำอะไรแบบตรงไปตรงมาและตามความเป็นจริง เพื่อให้สิ่งที่พูดสอดคล้องกัน (ขอย้ำ การโกหกไม่ดีสําหรับทุกคน)
ซึ่งสาวญี่ปุ่นที่ผมเล่าไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ถูกเรียกสอบที่ตรวจคนเข้าเมืองฮาวายนั้น ไม่ใช่เพราะเธอบอกว่ามีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) แต่เพราะว่าการกระทำและการตอบคำถามของเธอไม่สอดคล้องกัน มีความผิดปกติในพฤติกรรม สาวคนนั้นเธอบอกว่าเธอมาเที่ยวไม่กี่วัน แต่เธอกลับขนเสื้อผ้ามาเยอะมากๆ เป็นต้น จึงทำให้เกิดความน่าสงสัยต่างๆ นานาจนทำให้ต้องเรียกตรวจ
ส่วนประเทศอื่นๆ ผมก็มีประสบการณ์ตอนที่ผมเคยเป็นแบ็กแพกเกอร์ไปที่ประเทศอเมริกา ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายนครับ ซึ่งก็เป็นที่เลื่องลือกันอยู่แล้วว่าตรวจคนเข้าเมืองนิวยอร์กมีบุคลิกแบบคนมีอำนาจ ค่อนข้างจะตรวจเข้ม ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะผมเข้าไปผมก็โดนสงสัยจนได้ และเขาก็ถามผมว่าคุณจะมาเที่ยวหนึ่งเดือนหรอ? ทำไมมีของมาน้อยขนาดนี้ มีแค่เป้ใบเดียวกับหน้ากากดำน้ำเท่านั้นเองหรอ? ผมก็บอกว่าใช่ครับ เขาก็สงสัยมากแต่ก็ได้ผ่านเข้าเมืองในที่สุด ผมจึงคิดว่าคราวหน้าผมเข้าไปผมจะเอาเสื้อผ้าไปเยอะๆ เลยครับท่าน
สรุปคือความจริงใจสำคัญที่สุด ถ้าเรามีจุดประสงค์มาเที่ยวคือบอกไปตามจริง ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องพูดมากกว่าที่เขาถามครับ เขาถามอะไรก็ตอบแค่นั้น ที่สำคัญควรปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองของแต่ละประเทศนั้นๆ วันนี้เล่าสู่กันฟังครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า วันนี้สวัสดีครับ