เริ่มจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่แรกเริ่มเดิมที ทางทีมงานในทำเนียบขาว ดูจะประมาท จนพลาดพลั้ง

จากเดิมที่คิดว่า “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ” เป็นอันตรายยิ่งกว่า แต่ไปๆมาๆ หาได้เป็นเช่นนั้น เพราะโควิดฯ พ่นพิษ ลุกลามไปไกล จนระบาดไปทั่ว 50 รัฐ ของสหรัฐฯ พร้อมกับสถิติใหม่ในวงการ ด้วยการขยับฐานะของประเทศเป็นแชมป์ทั้งตายและป่วยมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ที่ตัวเลข ณ เวลานี้ จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อมียอดสะสมกว่า 1.88 ล้านคน ผู้ป่วยที่เสียชีวิตอีกจำนวน 1.08 แสนคน

โดยพิษของโควิดฯ ยังแผลงฤทธิ์ส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพราะนอกจากโรคภัยไข้เจ็บคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนพลเมืองกันโดยตรงแล้ว ก็ยังทำให้กิจการสถานประกอบการต่างๆ ต้องปิดทำการ ทั้งในแบบชั่วคราว และในแบบถาวรด้วย อันเป็นผลพวงจากมาตรการปิดพื้นที่ หรือล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะ

ท่ามกลางการรายงานข่าวว่า “กว่า 40 ล้านคน” ของชาวอเมริกัน ต้องกลายเป็น “คนตกงาน” ทันที จากวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้

ก่อนที่พิษจาก “ปัญหาทางเศรษฐกิจ” ข้างต้น จะส่งผลก่อให้เป็น “ปัญหาทางสังคม” ของอเมริกันชนในเวลาต่อมา โดยมาเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยของปรากฏการณ์อย่างที่หลายคนเรียกว่า “ฝีแตก” ใน “ปรากฏการณ์แห่งม็อบ” ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

นั่นคือ ม็อบต่อต้านตำรวจที่ทำร้ายชาวผิวสีจนถึงแก่ชีวิตในเมืองมินนีอาโพลิส รัฐมินนีโซตา

เมื่อปรากฏว่า ม็อบต่อต้านตำรวจข้างต้น ได้ลุกลามบานปลายจากเมืองมินนีอาโพลิส รัฐมินนีโซตา ไปก่อบังเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงตามเมือง ในรัฐต่างๆ

แถมมิหนำซ้ำ ไม่ใช่การชุมนุมธรรมดาๆ อย่างสงบ แต่สถานการณ์ได้ถลำลึกดิ่งเหวนรกลงไป กลายเป็นการจลาจลขึ้น ทั้งเผา ทั้งปล้น ทั้งทุบทำลายทรัพย์สิน อาคารต่าง ๆ ถึงขนาดทางการท้องถิ่นอย่างน้อย 40 เมืองในรัฐต่างๆ ณ เวลานี้ ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน พร้อมบังคับใช้มาตรการ “เคอร์ฟิว” ห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในยามวิกาลขึ้นมากำกับ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า บรรดาสมาชิกม็อบทั้งหลาย ไม่สนใจและทายท้าต่อการประกาศเคอร์ฟิวข้างต้น โดยยังคงเดินหน้าชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์หลายคนแสดงทรรศนะว่า นอกจากปัญหาเศรษฐกิจ ที่พลิกกลายเป็นปัญหาสังคม จนบังเกิดม็อบป่วนเมืองแล้ว ก็ยังมีสาเหตุปัจจัยมาจากถ้อยแถลงโพสต์ทางทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เปิดไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย สามารถใช้กระสุนปืน กำราบเหล่าม็อบพวกนั้นได้เลย ซึ่งไม่ผิดอะไรกับน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ ทำให้ม็อบลุกลามบานปลายด้วยความโกรธแค้นยิ่งขึ้น

นอกจากประธานาธิบดีทรัมป์เผชิญหน้ากับปัญหาและมนุษย์ตัวเป็นๆ แล้ว ก็ยังประสบกับมรสุมบนโลกออนไลน์ จนถูกถล่มยับในยุทธจักรทางไซเบอร์อีกต่างหากด้วย เมื่อเขาเปิดศึกวิวาทะกับโลกโซเชียลมีเดีย อย่างทวิตเตอร์ เป็นอาทิ หลังโพสต์ด้วยถ้อยคำที่หมิ่นเหม่ชวนให้เข้าใจผิด และเสี่ยงที่จะสนับสนุนการใช้ความรุนแรงกันขึ้นได้ จนถูกทวิตเตอร์ติงเตือน เสียงรังวัดภาวะผู้นำอย่างหาน้อยไม่

ทั้งนี้ มรสุมที่นายทรัมป์เผชิญข้างต้น ก็อาจส่งผลต่อสมรภูมิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปีนี้ ที่เขาต้องสู้ศึกกับคู่แข่งคนสำคัญ อย่างนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดี ที่เขาเองก็ยังกริ่งเกรง

 

 

ที่มา : สยามรัฐ

846 Views