บ็อบ วูดเวิร์ด นักข่าวระดับตำนาน ออกหนังสือเล่มใหม่ แฉคำพูดของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยอมรับว่า รู้ตั้งแต่แรกว่าไวรัสโควิด-19 อันตรายมาก แต่ประธานาธิบดีจงใจปิดบังเพราะกลัวคนแตกตื่น
สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า บ็อบ วูดเวิร์ด นักข่าวชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ หนึ่งในผู้สืบสวนตีแผ่คดี ‘วอเตอร์เกต’ อันอื้อฉาว จนทำให้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออกจากตำแหน่ง ออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่า ‘Rage’ ตีแผ่คำพูดของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประธานาธิบดีผู้นี้รู้ตั้งแต่ก่อนจะพบเหยื่อโควิด-19 คนแรกในสหรัฐฯ ว่า ไวรัสตัวนี้อันตราย, แพร่ทางอากาศได้, ติดต่อง่าย และมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 5 เท่า แต่เขาปฏิเสธความน่ากลัวของมันต่อสังคมมาตลอด
นายวูดเวิร์ดสัมภาษณ์ประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 18 ครั้งตั้งแต่ 5 ธันวาคม 2562 ถึง 21 กรกฏาคม 2563 ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ มีทั้งพยาน บันทึกต่างๆ และคลิปเสียงที่นายทรัมป์อนุญาตให้อัดไว้เป็นหลักฐาน โดยระหว่างการสัมภาษณ์ นายทรัมป์แสดงให้เห็นว่าเขารู้ข้อมูลเกี่ยวกับความอันตรายของไวรัสโควิด-19 มานานแล้ว
ใน Rage นายทรัมป์กล่าวว่า งานของประธานาธิบดีคือการรักษาความปลอดภัยของชาติ แต่ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เขาบอกกับวูดเวิร์ดว่า เขารู้ว่าไวรัสร้ายแรงแค่ไหน และในเดือนมีนาคม ยอมรับว่าเขาปิดบังเรื่องนี้จากสังคม “ผมต้องการทำให้มันเบาลงไปเรื่อยๆ” นายทรัมป์บอกกับวูดเวิร์ดเมื่อ 19 มีนาคม ไม่กี่วันหลังจากเขาประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 “ผมยังอยากทำให้มันเบาลงอยู่ เพราะผมไม่ต้องการสร้างความแตกตื่น”
ในการสัมภาษณ์เดียวกัน นายทรัมป์ยังยอมรับด้วยว่าไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่เป็นภัยต่อคนหนุ่มสาวด้วย “ตอนนี้ ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่คนชราแล้ว บ็อบ วันนี้กับเมื่อว่าน มีข้อเท็จจริงเผยออกมาว่า ไม่ใช่แค่คนชรา คนหนุ่มสาวก็ด้วย คนหนุ่มสาวมากมายเลย” ถึงกระนั้น สิ่งที่เขาบอกกับสังคมกลับตรงกันข้าม เมื่อวันที่ 3 เมษายน นายทรัมป์กล่าวในงานแถลงข่าวของทีมเฉพาะกิจรับมือโควิดว่า “ผมบอกว่ามันกำลังจะหายไป และมันกำลังจะหายไป” แต่ 2 วันต่อมา เขาให้สัมภาษณ์กับวูดเวิร์ดอีกว่า “มันเป็นเรื่องเลวร้ายมาก เหลือเชื่อจริงๆ” และอีกครั้งในวันที่ 13 เมษายน นายทรัมป์ยอมรับว่า “มันติดต่อง่ายเหลือเกิน เราไม่อยากจะเชื่อเลย”
นายวูดเวิร์ดยังเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับคำเตือนที่นายทรัมป์ได้รับก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายด้วย แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สนใจ โดยในวันที่ 28 มกราคม ในการแถลงสั้นๆ ของหน่วยสืบราชการลับ นาย โรเบิร์ต โอ’ไบรเอน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เตือนนายทรัมป์เกี่ยวกับไวรัสตัวนี้ ว่านี่อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเขา ทำให้นายทรัมป์เงยหน้าขึ้นมามอง
ขณะที่นาย แมตต์ พอตติงเจอร์ รองที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงสำทับว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่อาจเลวร้ายเท่าการระบาดทั่วโลกของไข้หวัดใหญ่ในปี 2461 ซึ่งทำให้คนตายทั่วโลกกว่า 50 ล้านศพ รวมทั้ง 675,000 ศพในสหรัฐฯ พอตติงเจอร์เตือนด้วยว่า การแพร่เชื้อของผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการกำลังเกิดขึ้นในประเทศจีน เขาได้ข้อมูลมาว่า กว่า 50% ของผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการป่วยใดๆ อนึ่ง ในตอนนั้นสหรัฐฯ ยังมีผู้ติดเชื้อในประเทศไม่ถึง 10 ราย
3 วันต่อมา นายทรัมป์ก็ประกาศจำกัดการเดินทางจากประเทศจีน ตามคำแนะนำของทีมงานฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ แม้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะอ้างภายหลังว่า เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สนับสนุนเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม นายทรัมป์ยังคงปฏิเสธความรุนแรงของไวรัสโคโรนาต่อไป เดือนกุมภาพันธ์กลายเป็นเดือนที่สูญเปล่า ซึ่งวูดเวิร์ดระบุว่า นายทรัมป์พลาดโอกาสทองที่จะรีเซตนาฬิกาการเป็นผู้นำของเขาไป
“ประธานาธิบดีคือฝ่ายบริหาร มีหน้าที่เตือน, ฟัง, วางแผน และดูแล” นายวูดเวิร์ดเขียน แต่ไม่กี่วันหลังการแถลงเมื่อ 28 ม.ค. นายทรัมป์ก็ใช้ความเป็นผู้นำประเทศของเขา ลดความอันตรายของไวรัสตัวนี้ให้เหลือน้อยที่สุดแล้วรับรองกับสังคมว่า พวกเขาเผชิญความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายทรัมป์บอกกับฟ็อกซ์ นิวส์ เมื่อ 2 กุม๓าพัน ว่า “เราตัดเส้นทางการมาของมันจากจีนได้แล้ว” 2 วันต่อมา ที่งานแถลงนโยบาย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงพูดผ่านๆ เกี่ยวกับไวรัสโคโรนา และสัญญาว่ารัฐบาลของเขาจะใช้มาตรการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อปกป้องพลเมืองของเราจากภัยคุกคามนี้
แต่เมื่อวูดเวิร์ดถามนายทรัมป์ในเดือนพฤษภาคมว่า เขายังจำคำเตือนของนายโอ’ไบรเอน เมื่อ 28 ม.ค. ได้หรือไม่ ผู้นำสหรัฐฯ ก็ตอบว่า “ไม่ ผมจำไม่ได้ ผมมั่นใจว่าเขาพูดนะ คุณรู้มั้ย ผมมั่นใจว่าเขาพูด ช่างเป็นคนดีจริงๆ”
หนังสือของวูดเวิร์ดยังเน้นให้เห็นว่า ประธานาธิบดีทรัมป์รับเอาความดีความชอบทุกอย่าง แต่ไม่รับผิดชอบในการกระทำของตัวเองที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของไวรัสโคโรนาซึ่งทำให้ชาวอเมริกันมากกว่า 6 ล้านคนติดเชื้อ และเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 185,000 ศพเลย “ไวรัสนี่ไม่เกี่ยวอะไรกับผม” นายทรัมป์บอกกับวูดเวิร์ดในการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม “มันไม่ใช่ความผิดของผม จีนปล่อยไวรัสบ้านี่ออกมา”
[/responsivevoice]
ที่มา : ไทยรัฐ