ถึงห้วงเวลาโค้งสุดท้าย… การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ที่ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ลงพื้นที่หาเสียงกันอย่างดุเดือด ทั้งฝั่ง “โดนัลด์ ทรัมป์” แห่งพรรครีพับลิกัน ที่ขนสถิติทางเศรษฐกิจออกมาโอ้อวด หวังเรียกคะแนนเสียงกลับไปนั่งเก้าอี้อีกเป็นสมัยที่ 2 และ “โจ ไบเดน” ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ที่ขนนโยบายมาประชัน แถมเหน็บนโยบายเก่าๆ ของคู่แข่ง ปลุกความหวังสู่การเปลี่ยนแปลง ในชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร…
ปฐมบท “สงครามการค้า” เริ่มต้นหลังจาก “ทรัมป์” ถูกเลือกตั้งเข้ามาในปี 2559 ซึ่งการมาของเขาในครั้งนั้นมาพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะทำให้ “อเมริกา” กลับมาแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง ด้วยนโยบาย American First ที่คุ้นหูกันดี
ซึ่งต่อมาในปี 2561 “ทรัมป์” ก็เปิดฉาก “สงครามการค้า” อย่างเป็นทางการ ด้วยการตราหน้า “จีน” ว่าเป็น “พวกขี้โกง!”
![](https://www.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04N1N2Vrqxbo0STdt0yt4YgsuVholvMH.jpg)
คำอ้างที่ “ทรัมป์” บอกไว้ตอนนั้น และตอนนี้ก็ยังแปะหราอยู่บนหน้าเว็บไซต์หาเสียงของ “ทรัมป์” คือ กฎหมาย, นโยบาย รวมถึงการกระทำของ “จีน” ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ และสร้างความเสียหายให้กับเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่างมาก จนนำไปสู่การตั้งกำแพงภาษี 25% ในสินค้าจีนมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท และการสอบสวนภายใต้มาตรา 301 ของกฎหมายการค้า 1974
โดยปัจจุบัน แม้จีนจะเป็นคู่ค้าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของสหรัฐฯ รองจากเม็กซิโกและแคนาดา แต่จีนกลับเป็นประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลสะสมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 มูลค่ากว่า 1.63 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท
ที่ต่อมา จีนออกมาให้คำมั่นกับ “ทรัมป์” ว่าจะเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน โดยภายในปี 2563-2564 จะมีมูลค่ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 6.23 ล้านล้านบาท แต่จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน การนำเข้าของจีนทั้งหมดที่ครอบคลุมสินค้าของสหรัฐฯ มีเพียงแค่ 5.61 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.75 ล้านล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งในกรณีนี้ หาก “ทรัมป์” คว้าชัยชนะอีกครั้ง ก็มีความเป็นไปได้ว่า เขาจะเร่งเครื่องไล่บี้ “จีน” แบบเต็มสูบแน่นอน เพราะหากไปดูหน้าเว็บไซต์หาเสียงของทรัมป์แล้ว เขาดูจะภาคภูมิใจกับ “สงครามการค้า” นี้เอามากๆ
![](https://www.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04N1N2Vrqxbo0STdt0dIkcm0Flp269YV.jpg)
แล้วสำหรับ “ไบเดน” เขาจะจัดการอย่างไรกับ “สงครามการค้า” ที่ว่านี้?
หากมองจากท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ของเขาแล้ว หาก “ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อว่า “สงครามการค้า” อาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ในระยะเริ่มแรก ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าหรือการยกเลิกพิกัดทางภาษี…
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ “ทรัมป์” ก็พอเห็นอยู่แล้วว่า เขาต้องการให้สหรัฐฯ เดินไปทางไหน แต่ในส่วนของ “ไบเดน” เขาแทบไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรที่เป็นการผูกมัดตัวเองเลย
แต่จะลองมาไล่ดูกันทีละส่วน…ว่าในแต่ละสถานการณ์ “ไบเดน” จะเดินเกมไปทางไหน?
![](https://www.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04N1N2Vrqxbo0STdt0Xibwso4WldZUDB.jpg)
ในส่วนของ “ทรัมป์” เขาชู American First แต่ในส่วน “ไบเดน” เขาชู buy American และ by American โดยให้คำมั่นว่าจะทำให้อุตสาหกรรมการผลิตกลับคืนมาสู่สหรัฐฯ อีกครั้ง และยังสัญญาว่าจะจัดหาเงินทุนสำหรับสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 12 ล้านล้านบาท พร้อมสร้างงานอย่างน้อย 5 ล้านตำแหน่ง ในอุตสาหกรรมการผลิตและนวัตกรรม
แต่อย่างที่บอกเขาไม่ได้ให้คำมั่นที่ผูกมัดตัวเองมากนัก โดยหยิบยกการทำ Reshoring หรือการดึงการผลิตกลับบ้านเกิด เพราะ “ไบเดน” ต้องการย้ายห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในสถานะวิกฤติ กลับสู่สหรัฐฯ
ส่วนหากว่า ถ้า “ไบเดน” ชนะแล้วจะยกเลิกพิกัดทางภาษีไหม ก็ดูยังมีความเป็นไปได้น้อย อย่างน้อยในช่วงระยะแรก เขาก็คงยังไม่ทำ แม้จะอยู่ภายใต้การกดดันจากสหภาพยุโรป (EU) ก็ตาม
![](https://www.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04N1N2Vrqxbo0STdt0n4SfjerHRyScyH.jpg)
สถานการณ์ 2: ความตึงเครียด “จีน” ที่รุนแรงและควบคุมยาก
แม้ก่อนหน้านี้ เขาเคยเย้ยข้อตกลงทางการค้าของ “ทรัมป์” กับ “สี จิ้นผิง” ว่าเป็นข้อตกลงที่ “กลวงโบ๋” และตำหนิการกำหนดพิกัดภาษีของทรัมป์ที่เป็นบ่อเกิดภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมการผลิตสหรัฐฯ แต่จนแล้วจนรอด “ไบเดน” ก็ไม่ได้มีการให้คำสัญญาใดๆ ไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีการขูดรีดทางภาษีต่อไป หรือว่าจะเพิกถอนพิกัดทางภาษีออก
หากย้อนไปในเดือนพฤษภาคม “ไบเดน” เคยแถลงต่อหน้าสหภาพแรงงานอุตสาหกรรม ว่า เขาจะตั้งกำแพงภาษีเมื่อจำเป็น, ความแตกต่างระหว่างเขากับทรัมป์ คือ เขามีกลยุทธ์ที่จะได้ชัยชนะจากการเรียกเก็บภาษี ไม่ใช่แค่การอวดเก่งจอมปลอม
ในส่วนที่ว่า “ไบเดน” จะพาสหรัฐฯ กลับเข้าไปร่วมข้อตกลง Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือ CPTPP อีกครั้งหรือไม่ หลังจากที่ “จีน” เดินหน้าแสดงความคิดเห็นและอยากเข้าร่วมอยู่ตลอดเวลา ถ้ายึดตามการดีเบตเมื่อปีที่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่า เขาอาจกลับเข้าไปเจรจาอีกครั้งเพื่อเป็นหนึ่งใน CPTPP ที่ “ทรัมป์” ถอนตัวออกในตอนแรก
![](https://www.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04N1N2Vrqxbo0STdt0jE3r4aw5zg6I7v.jpg)
สถานการณ์ 3: TikTok & Huawei
“ไบเดน” ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า เขาจะต่อต้านอำนาจของบริษัทเทคโนโลยีจีน เช่น Huawei และ TikTok เพราะตัวเขาเองก็มีความกังวลถึงการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ชาวอเมริกันกว่า 100 ล้านคนของ TikTok ซึ่งเขากล่าวบนเวทีหาเสียงว่า เขาจะดึงผู้เชี่ยวชาญทางไซเบอร์มาร่วมทีม
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าย้อนไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ “ไบเดน” เคยออกมาสนับสนุนการแบนอุปกรณ์ Huawei ในสหรัฐอเมริกา และยังยืนยันว่า เขาจะพัฒนาข้อบังคับของโลกเกี่ยวกับการจารกรรมทางไซเบอร์ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และเทคโนโลยี AI
จากมาตรการกับ “จีน” ที่ว่ามาทั้งหมด “ไบเดน” ดูจะชัดเจนในเรื่องการขโมยทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุด โดยเขาสัญญาว่า จีนจะได้รับบทลงโทษแน่นอน หากพบว่ามีการขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และข่มขู่ว่าจะตัดออกจากการเข้าถึงตลาดและระบบการเงินของสหรัฐฯ
นี่เป็นเพียง 3 สถานการณ์ที่คาดการณ์จากคำหาเสียงของ “ไบเดน” และทิศทางของ “ทรัมป์” ที่มีท่าทีต่อ “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
เรายังไม่อาจรู้ได้ว่า ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 กันแน่ แต่ก็พอเดาได้ว่า หาก “ทรัมป์” ชนะ ทิศทางคงยังร้อนแรงไม่เปลี่ยน แต่หาก “ไบเดน” ชนะ จีนก็คงจะอุ่นใจได้ในช่วงแรกว่าคงไม่รุนแรงไปกว่านี้.
[/responsivevoice]ผู้เขียน: เหมือนพระอาทิตย์